Yangon : Old meets New พม่าไม่ได้มีด้านเดียว
ถ้าพูดถึงพม่า หลายคนคงนึกถึงทริปทำบุญไหว้พระก่อนเป็นอันดับแรก ภาพของพม่าเริ่มลอยมาในหัว สภาพบ้านเมืองที่ยังล้าหลังตามไทยหลายสิบปี เราคงไม่เถียงถ้าใครจะพูดแบบนี้เพราะภาพนั้นมันมีอยู่จริงแต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมด พม่าไม่ได้มีด้านเดียว หลายคนอาจยังไม่เคยเห็นบางมุมที่เจริญแล้ว บางมุมที่กำลังพัฒนาและเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เดินตามรอยบ้านพี่เมืองน้องอย่างไทยเรา เราจะพาไปรู้จักกับอีกหลายๆ มุมในย่างกุ้ง ตามสไตล์ A dayscape มีทั้ง landmark และ local คละเคล้ากันไปกลมกล่อมพอดี “Yangon Old meets New พม่าไม่ได้มีด้านเดียว”
รู้ไว้ก่อนไปย่างกุ้ง
- Yangon คนไทยรู้จักในชื่อ ‘ย่างกุ้ง’ แต่คนพม่าออกเสียงว่า ‘ยากอน’
- Yangon เคยเป็นเมืองหลวงของพม่ามาก่อน ส่วนเมืองหลวงปัจจุบัน คือ Naypidaw (เนปิดอว์)
- สกุลเงินพม่าเรียกว่า ‘จ๊าด’ เรต 1 บาท = 0.02440 จ๊าด นั่นแปลว่าเรามีสิทธิ์จับเงินล้านได้ง่ายๆ
- เข้าวัดทุกที่ต้องถอดรองเท้าและถุงเท้า ควรพกถุงผ้าไปใส่เองเพื่อความสะดวก
- เข้าวัดต้องแต่งตัวสุภาพ กางเกงหรือกระโปงต้องคลุมเข่า หรือจะนุ่งโสร่งสไตล์พม่าเก๋ๆ เลยก็ได้
- คนพม่าใจดี และเป็นมิตรมาก แต่กลโกง 18 มงกุฎเราก็เจอมาแล้ว ต้องลองอ่านดู
Day 1
การเดินทาง
มีสายการบินหลายสายจากกรุงเทพไปย่างกุ้ง เราใช้บริการแอร์เอเชียเพราะตอนที่แพลนทริปเราได้ราคาไป-กลับในราคาคนละประมาณ 1,800 บาท ซึ่งถือว่าถูกมากในขณะนั้น คนที่วางแผนจะไปลองเทียบราคาหลายๆ สายการบินก็น่าจะได้ราคาที่ถูกใจไม่ต่างกัน
หลังจากแลนดิ้งที่ย่างกุ้งเราก็ต้องหารถเข้าเมือง เมื่อเราเดินออกมาจากที่รับกระเป๋า เราจะเจอแท็กซี่มาคอยหาผู้โดยสารข้างหน้า ซึ่งจากประสบการณ์พวกนี้มักจะเรียกราคาแพง เลยตั้งใจว่าจะเดินไปหารถที่ทางสนามบินจัดไว้ให้ ซึ่งเราทำการบ้านมาแล้วว่า ค่าแท็กซี่จากสนามบินไปย่านไชน่าทาวน์ (ที่พัก) ประมาณ 8,000 จ๊าด ระหว่างที่เดินอยู่มีคนขับแท็กซี่มาเสนอราคา 7,500 จ๊าด อ้าว!! ถูกกว่าที่รู้มา ลองต่อราคาดู เผื่อฟลุ๊คได้ถูกกว่านี้ เราเสนอไปที่ 7,000 จ๊าด กะว่าถ้าไม่ลดก็ไปอยู่ดี ปรากฎว่าเค้าตกลง เราก็เลยใจง่ายไปกับเค้า เดินไปไม่ถึงจุดจอดรถ!!
ที่พัก
ประมาณ 30 นาทีก็ถึงจุดหมายปลายทางของเรา Agga Youth Hotel เราพักทั้งหมด 4 คืน ราคา 2,910 บาท รวมอาหารเช้า โรงแรมนี้เป็นที่นิยมของ Backpacker ที่ไม่ซีเรียสเรื่องความสะดวกสบายมากนัก ห้องน้ำรวมแต่นอนแยก ไม่ได้นอนรวมแบบโฮสเทล โดยรวมถือว่าโอเค สะอาด พนักงานพูดภาษาอังกฤษได้ ทำเลดี หาอะไรกินสะดวก
ไชน่าทาวน์
เรามาถึงโรงแรมช่วงค่ำๆ พอดี ท้องเริ่มหิว ไปเดินสำรวจย่านไชน่าทาวน์เพื่อหาอะไรมาเติมพลัง ไชน่าทาวน์จะอยู่ถนน Maha Bandula ช่วง 18th St – 24th St (โรงแรมอยู่ 12th St เดินประมาณ 10 นาที) ให้ลืมภาพไชน่าทาวน์เยาวราชที่ร้านทองเต็ม 2 ฝั่ง รถติดตลอดเวลา นักท่องเที่ยวล้นๆ ตามร้านอาหารไปได้เลย เพราะที่นี่น่าจะเป็นเยาวราชยุคแรกเริ่ม ที่เต็มไปด้วยร้านค้าตึกแถวหน้าตาย้อนยุค และหาบเร่เต็มไปหมด มีทุกสิ่งให้เลือกสรรแบรนด์ไทยก็มีไม่น้อย เรามาหาอะไรกินที่ 19th St (BBQ Street) ในซอยจะเต็มไปด้วยร้านอาหาร สารพัดเมนู และทุกร้านจะต้องมีเตาปิ้งย่างสมชื่อ BBQ Street
จบของคาวมาต่อที่ของหวานคือไอติม เป็นร้านของแขกตัวใหญ่ใจดี ตอนแรกเราสั่งไอติมมากิน แล้วนั่งคุยกันไปเรื่อย เจ้าของร้านรู้ว่าพวกเราเป็นคนไทย แล้วเห็นเราทำท่าอร่อย เค้าเลยให้ไอติมสตรอว์เบอร์รีมาอีกถ้วย แล้วบอกว่าทำจากสตรอว์เบอร์รีไร่เค้าเอง แถมหยิบผลสดๆ มาให้กินอีก ใจดีจริงๆ นี่ถือเป็นความประทับใจแรกของเราในพม่าเลย
Day 2
Yangon Circular Train
หลังจากจัดการอาหารเช้าบนชั้น rooftop ของโรงแรมเรียบร้อย ก็ถึงเวลาสำรวจเมือง สัมผัสวิถีชีวิตของชาวพม่าด้วยการนั่งรถไฟชมเมือง เรานั่งแท็กซี่จากโรงแรมไป Yangon Central railway Station ราคา 2,500 จ๊าด Yangon Circular Train จะวิ่งเป็นวงกลมรอบเมือง โดยใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง จะมีทั้งหมด 39 สถานี ระยะทาง 45.9 กิโลเมตร ค่ารถไฟคนละ 300 จ๊าด ตลอดสาย รถไฟจะจอดที่ platform 7
การนั่งรถไฟชมเมืองแบบนี้เป็นกิจกรรมที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวฝรั่งที่อยากเห็นวิถีชีวิต ความเป็นไปของเมือง ผู้คน ในแบบใกล้ชิดโดยที่ไม่มีอะไรมาแต่งแต้ม หลีกหนีจากแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมบ้างในบางครั้ง แผนในการนั่งรถไฟของเราคือ ไม่มีแผน นึกอยากลงตรงไหนก็ลง แล้วค่อยหาทางกลับเอาอีกที เรานั่งรถไฟมาประมาณ 1 ชั่วโมง เห็นฝรั่งหัวทองมีไกด์พามาลงที่สถานี Insein เราเลยลงบ้างเผื่อจะมีอะไร หลังจากลงรถไฟถ่ายรูปเล่นเพลิดเพลินกับรถไฟหน้าตา JR ฝรั่งกลุ่มนั้นก็หายตัวไป เราเลยต้องหาทางไปต่อด้วยตัวเอง ตัดสินใจเดินเล่นสำรวจละแวกสถานี เราพบว่าคนพม่ายิ้มเก่ง และใจดีมาก เราสงสัยแผงขายอะไรสักอย่างที่คาดว่าจะเป็นลอตเตอรี่ คนขายใจดีให้เรามาฟรีๆ 1 ใบ (เค้าให้มา เราก็รับไว้ ไม่รู้หรอกว่าต้องตรวจที่ไหนยังไง จริงๆ เลขที่ให้มาอาจถูกรางวัลใหญ่แล้วก็ได้ 55) หน้าตาอาหารท้องถิ่นของพม่าดูแล้วไม่น่าไว้วางใจเท่าไหร่ เราไม่ค่อยจะกล้าลองเพราะกลัวเป็นภาระกับท้องไส้ การหาห้องน้ำในแถบที่เหมือนจะออกจากตัวเมืองแล้วดูท่าจะลำบาก แต่โชคดีมีร้านไก่ย่าง 5 ดาว ช่วยชีวิตเราไว้ได้
Rangoon Tea House
เราใช้เวลาแถวสถานี Insein ประมาณ 2 ชั่วโมง จึงกลับด้วยรถไฟโดยนั่งย้อนกลับทางเดิม เพราะว่าดูจากในแผนที่แล้ว ที่นี่อยู่ 1/3 ของระยะทาง ถ้านั่งไปให้ครบรอบเกรงว่าจะนานเกินไป เรากลับมาลงที่ Yangon central railway แล้วนั่งแท็กซี่ไปที่ Rangoon Tea House คาเฟ่ที่ฮิตสุดในย่างกุ้ง อยู่ที่ Pansodan Rd. ถึงแม้ว่าจะชื่อ Tea House แต่จริงๆ แล้วเป็นแนว Cafe & Restaurant มากกว่า เพราะมีเมนูอาหาร กาแฟ และอีกหลายอย่าง การตกแต่งร้านจะเป็นแนวโมเดิร์น และน่าจะโมเดิร์นที่สุดแล้วในย่างกุ้ง และที่สำคัญคือมีแอร์ (ย่างกุ้งร้อนมาก) ร้านนี้เรา recommend เลยสำหรับคนที่กังวลเรื่องอาหาร เพราะว่าสะอาดและมีเมนูอาหารนานาชาติ ราคาไม่แพง
River Gallery & Pansodan Ferry Area
เราเดินจาก Rangoon Tea House ไป River Gallery ที่อยู่ไม่ไกล เพื่อเสพงานศิลป์กันต่อ ระหว่างทางเราสังเกตว่าตึกแถวๆ Rangoon Tea Hose ยาวไปจนถึงริมน้ำจะเป็นตึกสไตล์ยุโรปเก่าๆ ดูคลาสสิคมาก คาดว่าน่าจะมีชาวยุโรปมาตั้งถิ่นฐานในย่านนี้เมื่อในอดีต งานใน River Gallery ส่วนใหญ่จะเป็นภาพวาดสีน้ำมันและงานแบบอื่นอีกนิดหน่อย เราใช้เวลาที่แกลอรี่ไม่นานแล้วมาเดินเล่นต่อบริเวณรอบๆ เดินดูสถาปัตยกรรมเรื่อยมา จนถึงท่าเรือ Pansodan Ferry ดูวิถีชีวิตริมน้ำแบบเพลินๆ
Eclipse rooftop bar สุดฮิบ
ไปต่างประเทศทั้งทีก็ต้องสัมผัสให้ครบทั้ง daylife และ nightlife ใครจะไปคิดว่าย่างกุ้งก็มีบาร์สุดฮิปอยู่ด้วย Eclipse อยู่ที่ชั้น rooftop ของ Myanmar Plaza ที่เป็นทั้งตึกออฟฟิศและห้างสรรพสินค้า เมื่อมาที่นี่เหมือนหลุดมาอีกเมืองหนึ่ง ที่ไม่ใช่ย่างกุ้งอย่างที่เราสัมผัสมาตลอดเลย เพราะคนแถวนี้แต่งตัวปกติเหมือนชาติอื่นๆ ไม่มีใครที่นุ่งโสร่ง และมีฝรั่งที่ดูแล้วน่าจะเป็นคนที่ทำงานอยู่ที่นี่เต็มไปหมด ออกมา hang out กันแน่นร้าน ตัวร้านจะแบ่งเป็น 2 โซน มีทั้งสาย EDM และเล่นสดนั่งชิล เครื่องดื่มและอาหารราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับหน้าตาของร้านแล้ว เป็นอีกหนึ่งที่ที่ไม่ควรพลาด
Day 3
Dala Township และกลโกง 18 มงกุฎ
ปกติการเดินทางในย่างกุ้งเราจะใช้แท็กซี่เป็นหลัก เป็นแบบเหมาไม่มีมิเตอร์ ตกลงราคากันให้เรียบร้อยก่อนขึ้นจะดีที่สุด เราอยากลองขึ้นรถเมล์ดูบ้าง ก็ใช้ google map กับไปถามมั่วๆ เอาก็พอได้ ค่ารถเมล์ถูกมากแค่ 100 จ๊าด วันนี้นึกอยากลองแต่งตัวอย่างคนพม่าดูบ้าง เลยซื้อโสร่งมานุ่ง ทาหน้าด้วยทานาคากันทั้งทีม แรกๆ ก็เขินๆ แปลกๆ นิดหน่อย แต่สักพักก็ชิน ระหว่างทางมีแต่คนมองเราแปลกๆ มารู้ทีหลังว่าผู้หญิงเค้าจะแต่งตัวอีกแบบ ไม่ใช่อย่างที่เราแต่ง แบบที่เราแต่งก็ดูแมนเกิ้น!!
Dala Township ต้องมาข้ามเรือที่ Pansodan Ferry ค่าเรือ 4,000 จ๊าด เป็นชุมชนที่อยู่คนละฝั่งแม่น้ำกับที่เราไปเดินดูตึกแบบยุโรปเมื่อวาน เรียกว่าชนบทก็ได้เพราะเมื่อข้ามไปแค่ 10 นาที จะเป็นอารมณ์คนละแบบกันโดยสิ้นเชิงกับเมื่อวาน กิจกรรมที่นักท่องเที่ยวมาทำกัน คือ นั่งสามล้อชมบ้านเรือนวิถีชีวิตแบบบ้านนอกของย่างกุ้ง และที่นี่เองเราก็ได้เจอกับกลโกง 18 มงกุฎ
เริ่มจากระหว่างที่ข้ามเรือจะมีคนมาชวนคุย อัธยาศัยดี พอข้ามฝั่งมาถึงก็แนะนำว่า ถ้าจะนั่งสามล้อชมเมืองให้ไปกับเจ้านี้สิ บริการดี ไม่แพง ตอนแรกสามล้อเสนอราคา 6,000 จ๊าดต่อคน 30 นาที เรารู้มาว่าค่าสามล้อประมาณ 3,000 จ๊าด เราต่อราคา สามล้อยอมลดให้ที่ 3,000 จ๊าด ต่อคน 30 นาที เราเลยตกลงยอมไปที่ราคานี้ สามล้อพาชมหมู่บ้านแถบนั้น และไปที่ Bamboo village บอกว่าเป็นหมู่บ้านของคนที่ประสบภัยสึนามิ ยากจน ไม่มีอะไรกิน แล้วจากนั้นพาไปต่อที่โกดังเก็บข้าวสาร และจะให้เราซื้อข้าวสารให้คนในหมู่บ้านราคา 40,000 จ๊าด!! แต่เราไม่ซื้อ หลังจากนั้นคนขับสามล้อที่เคยอัธยาศัยดี คุยเล่นกับเราอย่างสนุกสนาน ท่าทางทางเปลี่ยนไปเป็นตึงเครียด ไม่พูดไม่จา และพาเรากลับไปที่ท่าเรือ เราฉุกคิดได้ว่าเราใช้เวลามาประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าแล้ว สามล้อพาเรากลับ เมื่อกลับมาถึงท่าเรือ คนที่เราเจรจาเรื่องราคาทีแรก (คล้ายคนคุมวินสามล้อ ไม่ได้ขี่เอง) เข้ามาทำท่าก้าวร้าว ขมขู่ บอกว่าราคาทั้งหมดคนละ 16,000 จ๊าด!! เพราะว่าเรานั่งไปทั้งหมด 2 ชั่วโมง 40 นาที (ตอนแรกไม่ได้บอกว่าทุกๆ 30 นาที/3,000 จ๊าด) นาทีนั้นโกรธมากแต่ก็ยอมจ่ายไปเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง กระบวนการแบบนี้มีอยู่ทุกที่ ถือเป็นบทเรียนให้ตัวเองที่ชะล่าใจไป เพราะว่าตั้งแต่มาพม่าเจอแต่คนดีๆ ครั้งนี้เลยพลาดไป หลังจากที่เราเจอเหตุการณ์นี้ ก็ลองไปอ่านตามเว็บบอร์ดต่างชาติ มีคนที่เจอแบบเราไม่น้อย
Myanmar Deitta
หลังกลับมาจาก Dala Township เราหลบมาเลียแผลใจ ทำใจสงบด้วยการเสพงานศิลป์กันต่อที่ Myanmar Deitta Gallery บนถนน 44th Street เป็นสถานที่จัดโชว์งานภาพถ่ายแนวสารคดี และหนังในแนวเดียวกันของศิลปินนานาชาติ งานที่นี่จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามแต่ศิลปินจะมาจัดแสดง ช่วงที่เราไปมีนักท่องเที่ยวต่างชาติให้ความสนใจ หมุนเวียนกันเข้ามาชมงานไม่ขาดสาย ก็บอกแล้วว่าย่างกุ้งก็มีอะไรฮิปๆ เก๋ๆ
เจดีย์ชเวดากอง
มาถึงไฮไลท์ที่นักท่องเที่ยวทุกชาติทุกภาษาไม่เว้นแต่คนพม่าเอง ต้องมาสัมผัสความยิ่งใหญ่ สวยงาม อลังการ โดยเฉพาะชาวพุทธที่นิยมเดินสายไหว้พระ ขอพร ทำบุญในต่างประเทศ ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง เจดีย์ชเวดากองเป็นเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศพม่า บรรจุพระเกศาของพระพุทธเจ้าไว้ 8 เส้น เชื่อว่าสร้างตั้งแต่ 2,500 ปีที่แล้ว เราเลือกมาในช่วงเย็นเพื่อมาเก็บภาพแสงเย็น ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง ได้ภาพสวยงามสมใจ แม้ว่านักท่องเที่ยวจะเยอะแต่ก็ไม่ทำให้ความสวยงามของเจดีย์ชเวดากองลดลง การเข้าชมต้องซื้อตั๋วในราคา 8,000 จ๊าด เปิดให้เข้าชมตั้งแต่ 04:00-22:00 น. ทุกวัน
Day 4
Kandawyi Lake & Karaweik Hall
สวนสาธารณะใจกลางเมืองย่างกุ้งที่มีทะเลสาบ Kandawyi ขนาดใหญ่อยู่ตรงกลาง และมองเห็นเจดีย์ชเวดากองอยู่ไกลๆ เสียค่าเข้าคนละ 400 จ๊าด และค่ากล้องถ่ายรูปอีก 500 จ๊าด ส่วน Karaweik Hall จะเป็นร้านอาหารลักษณะคล้ายเรือ ตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรมแบบพม่า ยื่นไปในทะเลสาบอีกที เรามากันตอนเช้าเพื่อนั่งเล่น เดินเล่น ส่วนร้านอาหารจะยังไม่เปิด แต่สามารถไปถ่ายรูปบริเวณรอบๆได้ ในสวนนี้มีร้านอาหารอยู่หลายร้าน ถ้าใครจะมาแนะนำว่ามาช่วงเย็นจะดีกว่า
Botataung Pagoda & เทพทันใจ
เจดีย์โบตาตาวน์และเทพทันใจเป็นอีกที่ ที่ผู้คนนิยมมาไหว้พระ ขอพร ค่าเข้า 6,000 จ๊าด ด้านในเจดีย์เป็นห้องสีทองสวยงามมาก ชาวพม่านิยมมาไหว้พระและนั่งสมาธิ ที่นี่มีเส้นผมพระเกศาของพระพุทธเจ้าบรรจุอยู่ด้านใน สร้างพร้อมๆ กับเจดีย์ชเวดากองเมื่อประมาณ 2,500 ปีมาแล้ว ส่วนเทพทันใจอยู่ด้านนอกเจดีย์ ต้องต่อแถวยาวหน่อยถ้าอยากจะให้นิ้วของเทพทันใจมาจิ้มที่หน้าผาก แต่ถ้าใครไม่อยากรอก็สามารถเดินเข้าไปไหว้ใกล้ๆ ได้เลย
Bogyoke Aung San Market (Scott’s Market)
หลังจากไหว้พระเสร็จเราก็ต้องทำตัวเป็นนักท่องเที่ยวที่ดี ด้วยการชอบปิ้ง อุดหนุนร้านค้า ซื้อของท้องถิ่นติดไม้ติดมือกลับมาบ้าง เราไปกันต่อที่ Scott’s Market เป็นตลาดสำหรับนักท่องเที่ยวเลยก็ว่าได้ เพราะมีของแฮนด์เมด พลอย ของเก่า ของฝาก สารพัดสิ่งที่ตลาดแห่งนี้ หรือแค่จะมาเดินชมแล้วหาอะไรกินแถวนี้ก็ได้ มีร้านอาหารเยอะพอสมควร ที่นี่เป็นอีกครั้งที่เราได้เจอความใจดีของคนพม่า ระหว่างที่เราสั่งอาหารอยู่ แล้วเราทำท่าร้อน น้องที่รอรับออเดอร์ถึงขั้นพัดให้เราเลยทีเดียว
Vista Bar
ตกเย็นเราไปหาร้านนั่งเล่นกันต่อ เพื่อนที่อยู่พม่าแนะนำมาว่าต้องไปร้านนี้เลย วิวดี มองเห็นเจดีย์ชเวดากองใกล้ๆ ราคาไม่แพง (โดยรวมแล้วค่าครองชีพถูกกว่าไทยมาก) เป็น rooftop bar เปิดเพลงคลอเบาๆ เหมาะกับการนั่งคุย ชมวิวไปเรื่อยๆ แนะนำไปช่วงเย็นรอจนพระอาทิตย์ตกดิน ดีงามมาก
หมูจุ่มพม่า
แถมให้อีกอย่าง เป็นเมนูอาหารยอดนิยมของคนที่นี่ เป็นเครื่องในและส่วนต่างๆ ของหมู หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วเสียบไม้วางไว้รอบๆ หม้อต้ม รสชาติคล้ายๆ พะโล้เข้มข้น หากินง่ายมีทุกที่ เค้าบอกกันว่าถ้าไม่ลองกินถือว่ามาไม่ถึงพม่า ราคาไม้ละ 500-1,000 จ๊าด แต่ระวังให้ดี ด้วยความอร่อย จากไม่กี่พันจ๊าดอาจเป็นหมื่นจ๊าดได้!!
Day 5
อย่าไปนับเลยเพราะตื่นมาก็กลับแล้ว!!
การไปเที่ยวพม่าของเราครั้งนี้ได้รับประสบการณ์ที่ดีและร้ายผสมกันไป ด้านดีคือได้รู้จักหลายๆ ด้านของย่างกุ้ง ความเป็นไปของเมืองที่กำลังพัฒนาทั้งในแง่สิ่งก่อสร้าง สภาพสังคมตามหลังไทยมาติดๆ ได้สัมผัสถึงความใจดีของคนพม่า ส่วนด้านที่ร้ายนั้นเราถือว่าเป็นบทเรียนครั้งสำคัญในการเดินทาง ที่จะช่วยให้เราระวังตัวมากขึ้น และจะไม่โทษว่า เป็นเพราะการมาเที่ยวพม่า หรือเหมาว่าคนพม่าเป็นแบบนี้ทั้งหมด เราสัมผัสถึงความใจดีของคนพม่าจำนวนมากที่เราได้พบเจอ มากกว่าคนไม่ดีแค่ไม่กี่คน เราคิดว่ากระบวน 18 มงกุฎที่คอยหากินกับนักท่องเที่ยวมีทุกประเทศ ไม่เว้นแต่ในไทยเองและหวังว่าสักวันเรื่องพวกนี้จะหมดไป สาธุ!!
ติดตามพวกเรา A dayscape เพิ่มเติมได้ที่
- Website : http://www.adayscape.com
- Facbook : https://www.facebook.com/adayscape/
- Instagram : https://www.instagram.com/adayscape/
- YouTube : shorturl.at/egszK