TraveliGo presents a road trip in Japan with PALAPILII

TraveliGo

 

ก่อนจะถึงปีใหม่ 2017 ที่ผ่านมา ผมวางแผนอยากเที่ยวญี่ปุ่นกับครอบครัวสักครั้ง และการเดินทางไปกับครอบครัวของผมนั้น ก็คงไม่ธรรมดาแน่นอน เพราะว่า ผมอยากพาพ่อแม่พีสาว และตัวเองไป Road Trip ในญี่ปุ่นสักครั้งหนึ่ง แผนที่วางไว้คร่าวๆ ก็คือ จะบินไปลง Nagoya International Airport แล้วบินกลับจาก Narita International Airport ครับ ก็คือคนละเมืองเลย ซึ่งหลังจากที่วางแผนคร่าวๆ ก็เลยลองหาข้อมูลและร่างแผนการเดินทางได้ประมาณนี้

การเดินทางของผมจะเริ่มจากการชมเมืองใน Nagoya แล้วไปค้างคืนที่ Takayama ตื่นเช้าไปหมู่บ้านมรดกโลก Shirakawa Go แล้วอัดต่อไประหว่างทาง Yuzawa ที่ Iiyama พอรุ่งขึ้นก็หากิจกรรมทำแถวนั้นก่อนจะไปพักต่อที่ Yuzawa เพื่อรอเล่นหิมะ แล้วลงไปที่ Kawaguchi Go ไปชมพูเขาไฟฟูจิ รุ่งขึ้นก็ยาวต่อไปอีกนิดที่ Yokohama แล้วเช้าวันสุดท้ายที่ Tokyo ครับ และหลังจากที่วางแผนได้อย่างสังเขป ก็ถึงเวลาที่ต้องจองทุกสิ่งอย่าง จริงๆ แล้วผมจะเป็นคนที่เที่ยวแบบไปตายเอาดาบหน้าครับ แต่ครั้งนี้คงทำไม่ได้ เพระว่ามีพ่อแม่ไปด้วย ทุกอย่างมันเลยต้องฟิกซ์แบบมีแบบ มีแผน ผู้ใหญ่เค้าต้องการความชัดเจนครับ ก็เลยต้องจองตามคำสั่งของแม่ //แม่หัวรั้นมาก บอกว่ายังไงก็ต้องจองก่อนไป ครั้งนี้ได้ TraveliGo.com ในการจัดการเรื่องการจองที่พักครับ เอาล่ะ ว่าแต่ TraveliGo.com มันคืออะไร มาดูกันครับ

 

Traveligo.com เป็นเว็บ Booking ที่รวมทุกสิ่งอย่างที่จำเป็นกับชีวิตการเดินทางไว้ในเว็บเดียวแบบ One Stop Service ครับ ไม่ว่าจะเป็นจองโรงแรมหรือที่พัก จองรถเช่า จองตั๋วเครื่องบิน จองบัตรเข้างานต่างๆ จองแพ็คเกจทัวร์ หรือแม้กระทั่งเรื่องเฉพาะทางอย่างการจองไอเดียในการท่องเที่ยวในแต่ละสถานที่นั้นๆ Traveligo.com เค้าก็มีให้ครับ ซึ่งในครั้งนี้ สิ่งที่จำเป็นกับผมที่สุด คือ ตั๋วเครื่องบิน ที่พัก และรถเช่า ตั๋วผมจองไปตั้งแต่ต้นปีแล้ว รถเช่าก็กะจะไปมั่วเอาข้างหน้าครับ เพราะอยากจะดูสถานการณ์ก่อนว่าหิมะจะตกไหม ส่วนที่พักนี่สิ ที่น่าเป็นห่วงที่สุด ช่วงปีใหม่ กลัวเต็ม ต้องจองครับ

 

เมื่อเข้ามายังหน้า Home ของ Traveligo.com เพื่อนๆ ก็จะเห็นหน้าตาที่ดูแปลกตาไปจากเว็บไซต์อื่นครับ มีความดึงดูดและมีการแยกประเภทการจองให้เห็นอย่างชัดเจน ก็คลิกไปที่จองที่พัก หรือ Hotel กันก่อนเลยเพื่อจุดประสงค์หลักในการเดินทางของเราในครั้งนี้

 

หลังจากที่เข้ามาตรงนี้ เพื่อนๆ ก็จะต้องแจ้งข้อมูลไปครับ ว่าเราจะไปที่ไหน ช่วงเวลาไหน พักกี่วัน นอนกี่คน ต้องการอะไรไหม ที่สำคัญคือ เพื่อนๆ สามารถกรองได้ว่า อยากให้เริ่มจากราคาสูงหรือต่ำสุด โรงแรมสามดาวหรือห้าดาว มีที่จอดรถไหม มีไวไฟไหม มีอาหารเช้ารวมให้ไหม บลาๆๆๆ ครับ ก็เลือกเอาตามความต้องการของตัวเองครับ เพื่อให้ได้มาซึ่งที่พักที่ตอบโจทย์เรามากที่สุด เมื่อหน้าเว็บมันขึ้นโชว์ ก็กดเข้าไปเลือกในโรงแรมนั้นๆ ที่เพื่อนๆ ต้องการเข้าพักครับ ซึ่งแต่ละโรงแรมก็จะแจ้งราคาเริ่มต้นแสดงผมไปให้ก่อนตามความต้องการของเรา หลังจากนั้นเข้ามาเลือกอีกที่ใน  Choice ที่ทางเว็บมีให้ครับ ว่าต้องการห้องแบบไหน เตียงแบบไหน หรืออะไรยังไงต่อก็แล้วแต่ความต้องการของเรา และหลังจากนั้นก็กดเลือกห้องนั้นไปครับ

 

ทีนี้มันจะขึ้นมาให้เราใส่ข้อมูลในการจองที่พักครับ หลักๆ ก็จะมีชื่อ นามสกุล อีเมล์ เบอร์โทร และเรื่องส่วนตัวนิดหน่อยครับ ซึ่งเมื่อเลื่อนลงมาได้ล่าง ทางเว็บไซต์จะมีเงื่อนไขในการจองให้เพื่อนๆ ได้ศึกษากันก่อนครับ ก่อนที่เพื่อนๆ จะกด continue เพื่อไปยังขึ้นตอนการจ่ายเงินต่อไป

 

เป็นอย่างไรบ้างครับ ดูง่ายดายเลยใช่ไหมครับ คือจองง่ายมาก แล้ว Service ดีมากครับ อย่างในกรณีนี้ของผม ต้องการจะจองไปนอนหนึ่งคืนในโตเกียวสี่คน ก็เลือกๆ ไปจนมาถึงตรงนี้ แต่ด้วยความลังเล เลยลองหาที่พักใหม่เรื่อยๆ ระหว่างนั้นไม่นานครับ จะมีเจ้าหน้าที่โทรมาสอบถามเราเลยครับ ว่าเรามีปัญหาในการจองอะไรหรือเปล่า มีอะไรให้ทางทีมงานช่วยหรือเปล่า ซึ่งผมก็ประหลาดใจมาก เกิดมาไม่เคยเจอเว็บ Booking บริการดีขนาดนี้ ตรงนี้ต้องยกนิ้วโป้งให้เลย!!

 

เอาล่ะ ก่อนจะตัดบทจบเข้าเนื้อหาการท่องเที่ยวญี่ปุ่น Road Trip ในครั้งนี้ของผม ผมขอแจ้งไว้ตรงนี้เลยว่า หากใครที่ใช้ เว็บ Traveligo.com จองสิ่งต่างๆ ที่ทางเว็บไซต์มีบริการ เพื่อนๆ สามารถรับส่วนลดได้มากสุดถึง 350 บาท ขั้นตอนง่ายๆ เพียงแค่ใส่ code นี้เข้าไปครับ “ TIGPALAPILII “ เท่านี้ เพื่อนๆ ก็จะได้รับส่วนลดสำหรับการจองทุกสิ่งอย่างในเว็บนี้เหมือนผมแล้ว สำหรับ Code นี้ เพื่อนๆ สามารถใช้ได้แค่ 1,000 ครั้งเท่านั้นนะครับ ก่อนที่โควตาของผมจะหมดไป ถือว่าเอามาแบ่งกันใช้ ก่อนจะตัดบทไปเรื่อง Road Trip ครับ ยังไงลองใช้กันดู

 

DAY 1 : BANGKOK – SHIANGHI

การเดินทางของเราเริ่มต้นที่สุวรรณภูมิครับ เมื่อทุกคนพร้อมหน้าพร้อมตากัน ก็ถึงเวลาเช็คอินก่อนขึ้นเครื่องสองชั่วโมง ปกติแล้ว ระยะเวลาจากสุวรรณภูมิไปนาโกย่า ใช่เวลาราวๆ 5 ชั่วโมงครับ ซึ่งจุดนี้ก็ขึ้นอยู่กับเงินในกระเป๋าของเพื่อนๆ แล้วล่ะ ว่าสะดวกที่จะจองเป็นแบบไหน ถ้าบินตรงเลยก็จะแพงหน่อย แต่หากจะต้อง Transfer เปลี่ยนเครื่อง ก็อาจจะทำให้เสียเวลาไปบ้าง แต่ก็ถึงจุดหมายปลายทางได้เช่นกัน ในส่วนของผมสำหรับทริปนี้ เราเลือก Transfer ที่เซี่ยงไฮ้เป็นเวลา 9 ชั่วโมงครับ

 

DAY 2 : SHAINGHI – TAKAYAMA

เมื่อคืนเรานอนกันที่สนามบินกัน แต่ไม่ต้องห่วง เราเตรียมพร้อมกันมาอย่างดีครับ คือเตรียมถุงนอนมาด้วยเรียบร้อย กะว่า เช้าเมื่อไหร่  ก็เก็บของแล้วรอ Check in ต่อเลย ไม่นานหลังจากนั้นเพียง 2 ชั่วโมงกว่าจาก เซี่ยงไฮ้ เราก็เดินทางมาถึงนาโกย่าครับ หลังจากรับกระเป๋าและเช็คของทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย เราก็เดินทางไปใน Zone ของ Car rental ครับ เราก็ไปเลือกดูเลยว่า เราอยากได้รถรุ่นไหน แบบไหน ยี่ห้ออะไร บริษัทไหน ซึ่งจากการศึกษาข้อมูลของผม พี่ๆ ที่เคยไปมาบอกว่าของ Toyota นั่นถูกที่สุด แล้วอีกอย่างคือเป็นแบรนด์ของประเทศนี้ด้วย ด้วยความที่ไม่ลังเลอะไรทั้งนั้น ก็เลยเดินตรงเข้าไปถามที่หน้าเคาน์เตอร์ของ Toyota เลยครับ ว่ามีรถเหลือไหม พนักงานเค้าก็แนะนำให้เราเดินมาในส่วนของ office Toyato Rent a Car บริเวณ Airport Parking ครับ

ซึ่งรถที่เราตั้งใจจะใช้ ดันหมดครับ คือต้องการเป็นรถพรีอุสห้าที่นั่ง คือเราไปกันสี่คน แล้วก็เผื่อที่ไว้ให้ได้ใส่ของที่มันเกินจากด้านหลังด้วย ปรากฏว่าไม่มีครับ เหลือแต่แบบ 7 ที่นั่ง แล้วต้องเช่าเฉพาะรถที่เปลี่ยนยางสำหรับหิมะเท่านั้น เพราะทางพนักงานเค้าจะถามครับ ว่าเราจะไปเมืองอะไร แล้วไปส่งรถที่ไหน เป็นแบบ Round trip หรือ One way อะไรประมาณนั้น เบ็ดเสร็จก็จ่ายไปราวๆ 120,000 Yen (รวมค่าประกันรถ) สำหรับ Road Trip ในญี่ปุ่น 7 วัน ตีเป็นเงินไทยก็ประมาณวันละ 5,000 บาทครับ

หมายเหตุ: 30 เยน เท่ากับ 1 บาท

จริงๆ หากจะเอาสะดวก ผมแนะนำให้จองมาก่อนครับ ทาง TraveliGo เค้าก็มีบริการจองรถเหมือนกัน แล้วคือรวมแบรนด์ดังๆ ที่นิยมขับขี่กันทั่วโลกไว้ในเว็บนี้ด้วย แต่ด้วยความที่อยากไปตายเอาดาบหน้า อยากลองไปซุ่มดูว่าหิมะจะตกไหม ก็เลยชะล่าใจไม่จองรถครับ แต่ก็นะ ผ่านมาแล้ว ยังไงหากเพื่อนๆ จะเดินทางก็อย่าลืมพิจารณาถึงเรื่องนี้ด้วย ในรถมี GPS ภาษาอังกฤษครับ และที่แรกที่เราจะไปคือ Nagoya Castle เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ใหม่ของผมเลยก็ว่าได้ สำหรับการขับรถในประเทศญี่ปุ่น  จริงๆ แล้วอาจจะขับง่ายกว่าประเทศไทยด้วยซ้ำครับ เพราะที่นี่รู้สึกจะมีระเบียบกว่า มีเส้นแบ่งที่ชัดเจน ถนนไม่พังเหมือนบ้านเรา ถึงแม้จะเป็นที่กันดารก็ตาม โดยจากสนามบินนาโกย่า ไปถึงปราสาทนาโกย่า ใช้เวลาราวๆ ชั่วโมงกว่าเท่านั้น แต่พอเราไปถึง…

ไม่มีที่จอดรถครับ ที่จอดรถปิด เพราะเนื่องด้วยเป็นช่วงปีใหม่ ญี่ปุ่นมักมีอะไรแปลกๆ ให้น่าตกใจเสมอ ซึ่งบางเรื่องก็ไม่ควรเกิดขึ้น แล้วทำไงล่ะ จอดข้างทางตามบ้านเราก็ไม่ได้ เดี๋ยวโดนจับครับ ปรับครั้งละ 25,000 Yen ไม่คุ้มเลย ก็เลยคุยกับพ่อแม่ว่า เดี๋ยวให้พ่อแม่รออยู่บนรถ ผมจะลงไปเก็บภาพเฉยๆ และคือพ่อแม่ก็ไม่ได้อยากมาดูปราสาทอะไรอยู่แล้วก็เลยให้เราลงไปครับ และหลังจากที่เดินไปถึงหน้าประตูปราสาท ก็ต้องเงิบดอกสองครับ เพราะมาไม่ทันเวลา ปราสาทปิดเข้าชมเวลา 16.00 น. เออดี ยินดีต้อนรับกูมากๆ เลยญี่ปุ่นเนี่ยยยย > <

หงุดหงิดมากสำหรับวันแรก แต่เราก็เดินทางต่อกันไปเรื่อยๆ ครับ จากตรงนี้ ผมปักหมุดไปยังที่พักในเมือง Takayama เลย ระหว่างทางสวยงามตามท้องเรื่องครับ ขับบน Tollway ที่สวยงามสมราคาจริงๆ อิสัส เฉพาะค่า Tollway วันแรก หมดไปเกือบสามพันบาท ๕๕๕ และระหว่างทางที่ขับ หิมะก็ตกมาหนักมากครับ และนี่ก็ถือเป็นการเห็นหิมะตกหนักๆ จังๆ แบบนี้ครั้งแรกในชีวิตของผมเลย

ในประเทศญี่ปุ่นเค้าจะไม่อนุญาตให้ขับเกิน 100 km/hr ครับ แล้วก็มีกฎกติกาที่จะเคร่งครัดกว่าบ้านเราค่อนข้างชัดเจน คือผิดก็คือผิด ไม่มีมายัดพี่สองร้อย ขอไปเถอะนะ เหมือนบ้านเรานะครับ จากปราสาทประมาณ 2 ชั่วโมง ผมก็เดินทางมาถึงที่พักของเราในค่ำคืนนี้แล้วครับ สำหรับคืนนี้เรานอนกันที่ Oyado Iguchi ครับ Oyado Iguchi ถ้าเอาง่ายๆ ภาษาบ้านเราก็คือ Guest House ดีๆ นี่เอง เป็นที่พักขนาดเล็กครับ แบ่งห้องเป็นสัดส่วนอย่างชัดเจน นอนสูงสุดได้ห้องละห้าคน มีการตกแต่งที่เป็นญี่ปุ่นแบบญี่ปุ่น มีออนเซ็นให้แช่ และมีโลเคชั่นที่ติดกับแม่น้ำสายหลักที่ไหลผ่านตัวเมืองเลยล่ะครับ

หลังจากที่เราเก็บของกับเสร็จเรียบร้อย ก็พากันเดินออกมาชมบ้านเมืองเค้าในช่วงดึกกันครับ สังเกตได้ว่าเป็นเมืองที่เงียบสงบมาก และบ้านช่องเค้าก็ยังคงความเป็นญี่ปุ่นไว้อยู่เกือบ 100% และนี่คือเสน่ห์ของ Takayama ครับ เราเคยอ่านเจอว่า Takayama เป็นเมืองที่คนไทยส่วนใหญ่มองข้าม แต่เราว่า มองข้ามไม่ได้แล้วล่ะ เพราะถ้าอยากมาญี่ปุ่นให้ถึงญี่ปุ่น เมืองนี้เป็นอีกเมืองที่ยังคงความเป็นญี่ปุ่นไว้กว่า 80% เลยก็ว่าได้

กางร่มเดินตากหิมะกันไปเรื่อยๆ ตามแผนที่ที่เค้าให้มาครับ ตรงนั้นจะเป็น Zone Market จริงๆ เราก็ไม่ได้เตรียมอะไรมามาก เน้นถามหน้างานเอาซะส่วนใหญ่ ครั้งนี้ก็เหมือนกัน หิวมากๆ ก็เดินไปตามถนนคนเดิน และก็ตามกลิ่นอาหาร จนมาเจอร้านอยู่ร้านหนึ่ง

ผมจำร้านนี้ไม่ได้ว่าชื่ออะไร แต่รสชาติและราคาอาหารถูกปากมาก และนี่คือมื้อแรกของเราในญี่ปุ่นครับ อร่อยแบบสุดๆ ไปเลย ได้มาทานอาหารญี่ปุ่นในประเทศญี่ปุ่น มันก็ฟีลกู๊ดแบบนี้นิเอง ทั้งหมดทั้งสิ้น 4,000 กว่าเยนในค่ำคืนนี้ครับ

ที่นี่มีออนเซ็นให้เราได้แช่อย่างที่บอกครับ เราก็แช่ออนเซ็นแล้วก็มาปูผ้าปูเตรียมนอนกัน ที่นอนของคนญี่ปุ่นจะเป็นแบบนี้ครับ ไม่มีเตียง แต่จะเป็นผ้าฟูกพร้อมกับผ้าห่มหนาๆ มาให้ พร้อมกับชุดที่เป็นญี่ปุ่นที่เค้าเรียกว่าอะไรนะ ผมก็ลืมแฮะ แต่เอาเป็นว่า ใส่มาเป็นพร็อพถ่ายรูปกับครอบครัวได้เป็นอย่างดี แต่เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวๆๆ ไหนบอกว่ามากันสี่คน

ย้อนกลับไปที่สนามบินสุวรรณภูมิในวันที่หนึ่งครับ หลังจากที่เราอยู่หน้าเคาน์เตอร์เช็คอิน ปรากฏว่าพี่สาวของผมติดปัญหาไม่สามารถเดินทางมาด้วยได้ครับ เนื่องจากว่าตอนที่จองดันไปใช้ชื่อเก่า แล้วคือพี่แกไปเปลี่ยนชื่อมาใหม่ แล้วบวกกับพาสปอร์ตหมดอายุ แกก็เลยเอาพาสปอร์ตใหม่มายื่น ซึ่งเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่จะได้ขึ้นเครื่องไปรอบเดียวกัน พ่อกับแม่นิแทบจะร้อง จะได้บินไปพร้อมกันอยู่แล้วเชียว ดันมีปัญหา หลังจากที่เรา Landed ที่นาโกย่าในวันที่สอง เราก็รีบเปิด Tripizee Pocket Wifi ทันทีเพื่อติดต่อกลับไปหาพี่สาว เผื่อถามว่าจะเอาอย่างไรกันต่อไป เราคุยกันมาตลอดทาง ก่อนนอนคืนนี้ก็คุยว่าสรุปจะเอาไง ให้เพื่อน ให้พี่ ให้น้อง ช่วยกันหาตั๋วเครื่องบินที่มันใกล้เคียงกับตารางการเดินทางของเราให้มากที่สุด แต่ก็ไม่เป็นผลครับ เนื่องจากว่าพี่สาวไม่เคยบินไปต่างประเทศคนเดียว แล้วก็พูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ คืนนั้นก็เลยบายไปด้วยความผิดหวังเล็กน้อย แต่ต้องขอบคุณคนสร้างเจ้า Tripizee Pocket Wifi ขึ้นมาจริงๆ ครับ คือสัญญาณดีกว่าใช้เน็ตโทรศัพท์ที่ไทยอีก ทำให้การติดต่อประสานงานของเรากลับไทยราบรื่นมากๆ รวมถึงการโพสต์รูปลงเฟซบุ๊กเรียลไทม์ก็เช่นกัน ฮาๆ

 

DAY 3: TAKAYAMA – IIYAMA

ผมตื่นเช้าขึ้นมาด้วยเสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายของคุณแม่ครับ คือแม่แบบเปิดม่านออกไปแล้วก็ร้องใหญ่ว่าหิมะ หิมะ หิมะ เราก็งง ว่าจะตกใจอะไร เมื่อวานหิมะก็ตก แต่หลังจากที่ดึงตัวออกจากผ้าห่ม ลุกออกจากฟูก แล้วไปยืนอยู่ตรงหน้าต่างห้องนอน โอ้วมายก็อดดดดดดดด เป็นภาพที่สวยงามมากๆ เลยสำหรับผม เมื่อคืนมันยังไม่มีหิมะขนาดนี้เลย ใช่แล้วครับเมื่อคืนหิมะตกทั้งคืน

เราพากันลงไปทานอาหารเช้าก่อนที่จะเอาของไปเก็บไว้ในรถ และ เช็คเอาท์ เพื่อจะทำเวลาครับ สำหรับเช้าวันที่สามของทริปวันนี้ เราจะเดินเล่นกันรอบ Takayama เท่าที่พ่อกับแม่จะบ่นปวดขาครับ ผมดูแผนที่จาก Maps.me ก็เห็นว่า มีวัดอยู่ใกล้ๆ ไม่ไกลจากนี้ เอาล่ะ เดี๋ยวเราจะพาพ่อแม่เดินไป แต่ก่อนไปขอเดินไปถ่ายรูปกับซุ้มประตูบานใหญ่ตรงสะพานที่เดินผ่านมาเมื่อคืนก่อน

ผมลองหาข้อมูลของประตูผ่านทางบานยักษ์บานนี้แล้ว แต่ก็ไม่เจอร่องรอยอะไรมากมาย ไม่มีข้อมูลให้เห็นเด่นชัด แต่ผมว่ามันมีประวัตินะ ผมหาไม่เจอเอง ๕๕๕ หลังจากนั้นก็เดินตรงไปที่วัดครับ แล้วก็เดินดูเมืองเค้าจนกว่าแม่จะบ่นปวดขาอย่างที่บอก

เอาล่ะ ยังไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง แม่ผมก็บ่นปวดขาแล้วบอกให้ผมเดินกลับไปที่พักแล้วขับรถมารับครับ โอ้ยยยยย แม่ เดินอีกนิดดีกว่า ในญี่ปุ่นรถมันขับยากเหลือเกินตามซอกซอยเนี่ย แต่แม่ก็ทนเดินมาจนถึงรถครับ แล้วเราก็เดินทางยาวต่อไปที่ Shirakawa-go หมู่บ้านมรดกโลกนั่นเอง

จาก Takayama ไป Shirakawa-go ไม่ไกลกันเลย ประมาณ 1 ชั่วโมงก็ถึงครับ ผมคิดว่าผมโชคดีมาก หลังจากที่ผมขับรถเข้ามาถึงโซนเมือง Shirakawa ต้องบอกว่ารถเยอะมากๆ ครับ นักท่องเที่ยวเดินทางมาชมหมู่บ้านแห่งนี้ตรึม เราขับไปตามแผนที่เพื่อที่จะไปถนน 360R ครับ แล้วต่อขึ้นไปยังจุดชมวิว  ข้างบนมีที่จอดรถครับ แต่หากใครเดินทางมาด้วยรถสาธารณะก็สามารถต่อบัสขึ้นมาได้ คนละ 200 เยน หรือเดินขึ้นมาจากด้านหลังของตัวหมู่บ้านได้เลย เอาล่ะ เพื่อไม่ได้เป็นการเสียเวลา เราไปชมภาพบรรยากาศของหมู่บ้าน Shirakawa-go กันเลยดีกว่า

หมู่บ้านเหล่านี้ อยู่บนภูเขาในพื้นที่ห่างไกล บนพื้นที่ราบสูงฮิดะ (Hida) พื้นที่ของหมู่บ้านอยู่ท่ามกลางหุบเขา และธรรมชาติของใบไม้ที่ผลิใบสีเขียวสดใสในฤดูใบไม้ผลิ เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแดงในฤดูใบไม้ร่วง และในฤดูหนาวที่หมู่บ้านถูกปกคลุมไปด้วยสีขาวหมดจดของหิมะ หมู่บ้านมีความเป็นมาและคงความเป็นอยู่แบบดั้งเดิม ลักษณะของบ้านที่สร้างตามแบบเฉพาะนี้ มีหลังคาเป็นสามเหลี่ยมทรงสูงคล้ายลักษณะการพนมมือ โครงสร้างภายในจะเป็นหลายชั้น อาจเป็น 3 หรือ 4 ชั้น มีรายละเอียดพิถีพิถัน และมีลักษณะเฉพาะต่างกันออกไปตามการใช้งาน และแสดงถึงความชาญฉลาดของผู้ปลูกสร้างและอยู่อาศัย ภายในจะมีผ้าไหมที่รอปูรองไว้เพื่อให้ความอบอุ่นเมื่อยามหน้าหนาวมาเยือน ที่พื้นบ้านในชั้นแรกหลังคาที่มีมุมประมาณ 60 องศา เพื่อให้หิมะไหลได้ง่ายป้องกันการทับถมของหิมะในยามที่หิมะตกหนักทั่วญี่ปุ่น

หมู่บ้านทางประวัติศาสตร์แห่งชิระกาวะและเมืองโกคายามา เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดของการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์แบบดั้งเดิมที่ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อม สังคมและเศรษฐกิจได้อย่างสมบูรณ์แบบ และพวกเขาก็สามารถปรับตัวได้อย่างประสบความสำเร็จ เมื่อต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในประเทศญี่ปุ่นเมื่อครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา

ผมฟินมากๆ กับภาพวิวพอยท์ของผมตรงนี้และมากไปกว่านั้น ระหว่างทางขึ้นมาชมจุดวิวพอยท์นี้ทางยังสวยงามอีกด้วย ก็เลยจอดรถถ่ายรูปเก็บกันไปเรื่อยๆ ก่อนที่จะยิงยาวไปยังที่พักคืนที่สองที่ Iiyama ครับ

จาก Shirakawa ไป Iiyama มีระยะทางค่อนข้างไกลมากครับ ออกมาบ่ายๆ ถึงค่ำๆ พอดี แล้วคือระหว่างทางก็ทำให้ผมได้เห็นถึงสถาปัตยกรรมและฝีมือวิศวกรของชาวญี่ปุ่นครับ คือเค้าเก่งจริงๆ บางช่วงบางตอนของถนนนี่ยื่นออกไปตรงเหวกลางทะเลเลย แล้วก็มีบางช่วงที่ต้องขับลอดถ้ำยาว 11 กิโลเมตร ซึ่งทางส่วนใหญ่ของที่นี่ เค้าจะไม่ลัดเลาะภูเขาเหมือนบ้านเราครับ ถ้าขึ้นชื่อว่าทางด่วน เค้าจะเจาะอุโมงค์ลอดเขาลูกนั้นทันที โหดสัสรัสเซียไหมล่ะ แต่การศึกษาก็ต้องแลกมาด้วยราคาที่ค่อนข้างแพงครับ เฉพาะวันนี้พวกเราเสียค่าทางด่วนไป 7,000 กว่าเยน เชดดดดดดดแหม่

คืนนี้เราพักที่ Dancing House ครับ ผมจำได้ดี เพราะหลังจากที่ผมดันประตูเปิดเข้าไป เจ้าของบ้านแกงงครับ ว่ามีคนจองมาคืนนี้ด้วยหรอ ๕๕๕ สรุปแกจำวันผิดครับ คือเราจองมาพักที่บ้านแกจริงๆ แต่แกจำไม่ได้ เลยไม่ได้เตรียมต้อนรับเรา นั่งละเลงชาบูกันกับครอบครัวอย่างเฮฮาปาร์ตี้ โค้งคำนับเราแล้ว คำนับเราอีก ซึ่งเราไม่อะไรเลยขอแค่ให้เข้าพักก็พอ สรุปคืนนี้มีครอบครัวเราครอบครัวเดียวสำหรับที่พักแห่งนี้ครับ ฮ่าๆๆ

ที่พักเป็นแบบญี่ปุ่นมากกกก มีออนเซ็น มีฟูกนอน แต่ที่นี่มีเตียงให้ เนื่องด้วยว่าพวกเราหิว แล้วคือบริเวณนั้นไม่มีร้านอาหารครับ เค้าก็เลยทำ Udon ให้ทานกัน อร่อยมากกกกก อร่อยมากจริงๆ แล้วเราก็ถามเค้าว่า ผมเห็นในแผนที่ ที่นี่มีลานหิมะให้เล่นกิจกรรมหรอ เค้าก็บอกว่ามี เราก็เลยได้คุยกัน แล้วบอกว่า พรุ่งนี้ผมจะออกไปเล่นกับพ่อแม่นะ เพราะพ่อแม่ยังไม่เคยเล่นหิมะ คุยไปคุยมา ทุกอย่างเค้าให้ฟรีหมดเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นบอร์ด กระดาน รองเท้าบูท หรือเสื้อกันหนาว พวกเขา support พวกเราฟรี ดีใจมากๆ

 

DAY 4: IIYAMA – YUZAWA

ตื่นแต่เช้า ปลุกตัวเองด้วยเพลงเพราะๆ สักเพลงหนึ่ง วันนี้ก็ยังเช่นเคยหิมะยังตกอยู่ แล้วคือจะบอกว่าเมื่อคืนกว่าจะขึ้นมาที่นี่ได้ค่อนข้างยากครับ เพราะตลอดทางขึ้นเขาเป็นหิมะแล้วมืดด้วย อันตรายสุดๆ คิดไม่ผิดที่เอาล้อยางหิมะมา ไม่งั้นคงเสี่ยงมากแน่ๆ

เจ็ดโมงเช้า เรานัดกันที่โต๊ะอาหารครับ ทางเจ้าของบ้านได้เตรียมอาหารเช้าให้เราแบบท้องถิ่นมากๆ คือชอบโคตรรรร เราชอบอารมณ์แบบนี้ อารมณ์ที่โตเกียวหาไม่ได้แน่ๆ คือแบบบ้านๆ มากๆ แต่บ้านในญี่ปุ่นมันคือดีงามอยู่อ่ะ ก็นั่นแหละ หลังจากทานข้าวเสร็จ ก็ขอบคุณเค้า แล้วก็บอกว่าเราจะออกไปเล่นหิมะข้างนอกค่อยกลับมาเช็คเอาท์ได้ไหม เค้าก็บอกว่าได้ เย่ งั้นเราไปกัน

ขับไปประมาณ 1 กิโลเมตร ก็เจอลานหิมะเลยครับ เอาล่ะ ถึงเวลาเข้าไปต่อรอง หลังจากที่ไปสอบถามข้อมูลมา ปรากฏว่า ที่นี่ไม่มีค่าบริการในการใช้พื้นที่ครับ แต่มีแค่ค่าลิฟท์เท่านั้นที่ต้องเสียครั้งละ 350 เยน หรือเหมาเป็นวันๆ ละ 1,800 เยนเท่านั้น ซึ่งถูกและคุ้มโคตรรรร เราดีใจมาก เพราะเราอยากให้พ่อแม่ได้มาลองเล่นหิมะสักครั้งในชีวิต และนี่คือภาพบรรยากาศในครึ่งวันแรกของวันนั้นครับ

คือลานหิมะที่นี่จะแบ่งเป็น 3 ชั้นครับ ชั้นที่ 1 ความยาวราวๆ 800 เมตร สำหรับ Beginner ชั้นที่สองบวกเข้าไปอีก 300 เมตร สำหรับพวกที่เคยเล่นมาบ่อยๆ บ้างแล้ว คือความชันมันจะเพิ่มขึ้นด้วยครับ ตอนนี้ก็รวมเป็น 1.1 กิโลเมตรแล้วนะ พอไปชั้นที่ 3 ก็จะชันมาก และบวกความยาวเพิ่มเข้าไปอีก 400 เมตร ตรงนี้ก็จะเป็น 1.5 กิโลเมตร ครับ และชั้นสุดท้าย เกือบยอดสุดของภูเขาในเมือง Iiyama แห่งนี้ยาวไปอีก ราวๆ 500 เมตร คือมองจากตาเปล่านิเหมือนเหวเฉียง 60 องศาดีๆ นี่เอง คือไม่รอดแน่ ฮ่าๆๆ แต่ช่วงที่ผมไปเค้าก็ปิดครับ เพราะมันอันตรายเกินไป ให้เล่นถึงแค่ชั้นที่สาม แต่สำหรับพวกเรา เล่นแค่ชั้นแรกก็โคตรมีความสุขละ

เราใช้เวลาเล่นหิมะราวๆ 3 ชั่วโมงครับ หลังจากนั้นก็กลับมาเช็คเอาท์และขอบคุณเจ้าของบ้าน เจ้าของบ้านคิดตังค์มาทำผมยิ้มเลย คือถูกมาก ทั้งหมดทั้งมวลที่ว่ามานี้ 15,000 เยนเท่านั้น นั่นก็คือ 5,000 บาท ถ้าหารสาม ก็คนละราวๆ 1,700 บาทไทยเท่านั้น เอาล่ะ อาริกาโตะ โกซาอิมัสซุ

ก่อนที่เราจะมุ่งหน้าไป Yuzawa บริเวณนี้มันมีลิงแช่ออนเซ็นอยู่ครับ ซึ่งก็ไม่ใกล้ไม่ไกลจากตัวที่พักเราเลย Search คำว่า Monkey Onsen ใน google map แล้วขับรถตามไป ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง เราก็มาถึงที่นี่แล้วครับ

ที่นี่คือ Korakukan Jigokudani Park ครับ ต้องเดินขึ้นเขาไปกว่า 2 กิโลครับ บนนั้นจะมีน้ำพุร้อนอยู่ แล้วทางชาวญี่ปุ่นจึงทำบ่อออนเซ็นขึ้นมา เพื่อที่จะแช่กันในสมัยก่อน แต่กลับถูกลิงเจ้าถิ่นอพยพมาอาศัยอยู่ในบริเวณนี้ครับ 

ขับยาวๆ ไปเรื่อยๆ จาก Iiyama ไป Yuzawa ก็ไม่ใช่ใกล้ๆ ครับ วันนี้เราคงเสียทางด่วนกันยาวๆ ไปอีก และถึง Yuzawa ตอนประมาณหนึ่งทุ่ม แผนพรุ่งนี้คือเล่น Snowboard ที่ Gala Yuzawa Ski Resort ครับ แต่เนื่องจากว่าวันนี้ผมอิ่มแล้ว ผมเต็มแล้วกับคำว่าหิมะ ผมก็เลยบอกแม่ว่า มาช่วยให้พี่เมเดินทางมาเจอเราคนละครึ่งทางดีกว่า คือผมจะยอมไม่เล่น Snowboard วันนี้เพื่อที่จะไปเจอพี่เมอีกวันหนึ่ง

ที่พักที่นี่แพงที่สุดสำหรับทริปนี้ของเราครับ เก็บกูไป 26,000 เยนแต่แบบไม่ดีโคตรๆ เจ้าของเป็นลุงแก่ๆ แต่ก็สงสารแกอยู่ แกพูดภาษาอังกฤษไม่ได้อ่ะ สื่อสารลำบากมาก ขนาดอาหาร เรายังต้องเดินทางออกมาหาทานกันตาม market store ด้านนอกเลย แต่ก็โอเคดี ได้ลองอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ และนี่เป็นอาหารจาก Market Store ของเราครับ ถาดนี้ 4,000 เยน ฮjาๆๆ

 

คืนนี้เราพยายามติดต่อพี่เมเรื่องจองตั๋วเครื่องบินครับ ก็ช่วยกันจนจองได้ครับ และจะบินมาคืนนี้แล้วถึงนาริตะตอนเช้า นัดกันที่ Kawaguchiko Station ตอนบ่ายสองบ่ายสามราวๆ นั้น คือแบบดีมากกก คิดไม่ผิดที่เอา Pocket wifi มาใช้ในทริปนี้ คือมันแบบเปิดตัวเดียวใช้ได้ทั้งวันแต่เชื่อมต่อพร้อมกันได้ 10 Devices อ่ะ คืนมันดีงาม มันเลิศ มันประเสริฐศรีเอามากๆ เป็น pocket wifi ของ Tripizee นะ ยังไงลองเอาเป็น choice สำหรับการติดต่อสื่อสารเวลาเดินทางไปต่างประเทศดู ราคาไม่แพง ลองเข้าไปดูในเว็บเค้าได้เลย

 

DAY 5: YUZAWA – KAWAGUCHIKO

สวัสดีวันที่ห้าครับ เช้าวันนี้อากาศครึ้มมากกกก  รู้สึกโชคดีที่เมื่อวานเล่นสโนว์บอร์ดเรียบร้อยแล้ว วันนี้ก็เลยตัดใจจากการเล่น Snowboard ที่ Gala Yuzawa Ski Resort ได้ง่ายขึ้น เมื่อวานผมเสียค่าทางด่วนเยอะมากกก วันนี้ก็เลยใช้วิธีเปิด GPS ในมือถือแล้วตั้งค่า Avoid Toll way and High way ครับ ระหว่างทางวันนี้ก็เลยแปลกตาไปกว่าทุกวันที่ผ่านมา รู้สึกเหมือนได้อยู่ใกล้ธรรมชาติมากขึ้น ขับไปได้ประมาณสองชั่วโมงรู้สึกไม่ไหวครับ เนื่องจากว่าภูเขาที่ญี่ปุ่นแม่งโค้งเยอะมาก แล้วดูเหมือนจะอันตรายกว่าพี่ไทยครับ เนื่องจากญี่ปุ่นมีแผ่นดินไหวบ่อย สังเกตจากข้างทางจะมีที่กันหินตกใส่ถนนตลอดทาง อีกอย่างคือ ถ้ายึดทางนี้เรื่อยๆ จะต้องใช้เวลากว่า 6 ชั่วโมงในการเดินทางไปถึง Kawaguchiko แต่หากใช้ทางด่วน จะใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมงเท่านั้น เอาวะ ทางด่วนก็ทางด่วน ๕๕๕

ระหว่างที่ขับรถอยู่พี่ก็เดินทางมาถึงญี่ปุ่นเรียบร้อยครับ ก็คุยกันโดยเชื่อมต่อกับ Pocket wifi ของ Tripizee นั่นแหละ สรุปเวลากันดิบดี คือเดี๋ยวเราจะเจอกันตอนบ่ายสองที่คาวากูจิโกะ  อีกไม่นาน เราจะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันแล้ว

สุดท้ายก็ได้เจอกันครับ ฮาๆ เอาล่ะ เราจะพาเพื่อนๆ ไปเล่นเอนจาไนกะที่ Fuji Q Highland Park กันครับ คือเสียค่าเข้า 1,500 Yen แล้วจ่ายค่าเครื่องเล่นอีก 1,000 Yen ครับ คือด้วยเวลาที่จำกัด เราเลยเล่นได้แค่นี้ แต่เก็บอารมณ์ได้แบบครบสมบูรณ์เลยล่ะ ฮาๆๆ

เสร็จจาก Fuji Q Highland Park ก็เดินทางไป Pengoda View Point ครับ ซึ่งเป็นจุดชม Fuji อีกจุดหนึ่งที่นิยมมากๆ สำหรับการชมพูเขาไฟฟูจิ เดินทางไม่นานครับ สามารถนั่งนรถไฟไปได้ ส่วนเราขับรถไปก็มีที่จอดรถฟรีให้ครับ พอไปถึงเดินขึ้นบันไดไปอีกราวๆ 5-10 นาที เราก็จะเจอภาพแบบนี้ครับ

เผอิญช่วงที่ผมไปมันเย็นแล้วพอดี เราเลยได้โอกาสชมพระอาทิตย์ตกที่นั่นด้วยพอดี ก็อยู่หนาวๆ ข้างบนจนพระอาทิตย์ตกดินก่อนตีรถกลับเข้าที่พักของเราในค่ำคืนนี้ครับ

ที่พักของเราในคืนนี้ชื่อ Kagelow Mt.Fuji Hostel ครับ ที่พักคืนนี้เป็นอีกที่ที่ผมเห็นภาพแล้วต้องรีบจองเลยครับ คือที่พักโดดเด่นมาก ออกสไตล์โมเดิร์นหน่อยๆ ผสมกลิ่นอายของความเป็นญี่ปุ่นและโฆษณาว่าวิวฟูจิภายในที่พักก็จะมีร้านอาหาร คาเฟ่รวมอยู่ใน Hostel เดียวกัน ห้องน้ำรวม มีครัวให้ มีจักรยานราคาถูกให้เช่าที่ 500 Yen ต่อวัน สำหรับวันนี้ ขอลาไปพักผ่อนก่อนนะครับ

 

DAY 6: KAWAGUCHIKO – YOKOHAMA

เช้านี้อากาศสดใส ตื่นมาพร้อมกับอากาศที่หนาวมาก ๆ และเป็นอีกครั้งที่วิวจากนอกหน้าต่าง ต้องทำให้ผมรู้สึกฟินสุดๆ อีกครั้ง กับการมองออกไปนอกหน้าต่างครั้งนี้ ใช่ครับ พวกเราเห็นภูเขาไฟฟูจิที่มีฉากหลังแดงนวลๆ ที่ Reflect แสงของดวงอาทิตย์ มันเป็นท้องฟ้าที่นุ่มนวลมากๆ อีกวันในทริปญี่ปุ่นทริปนี้

วันนี้เรานัดกันว่าจะปั่นจักรยานรอบทะเลสาบคาวากูจิโกะครับ ด้วยอากาศที่ค่อนข้างหนาว จึงต้องมีถุงมือคนละคู่ ปั่นจักรยานไปรอบทะเลสาบ และนี่คืออีกความฝันหนึ่งของฝน ความฝันที่ว่า อยากพาพ่อแม่มาปั่นจักรยานรอบภูเขาไฟฟูจิสักครั้งในชีวิต > <

เสร็จจากตรงนี้ เราก็เดินทางต่อกันไปที่ Yokohama แบบไม่รีรอครับ คือเราก็ไม่รู้หรอกว่า Yokohama มันมีอะไร แต่ระหว่างที่เดินทาง ก็ให้พี่ Search หาจาก Internet ครับ ปรากฏว่าได้ข้อมูลมาพอสังเขป

โยโกฮาม่า เป็นเมืองท่าที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นครับ เป็นแหล่งส่งออกและนำเข้าสินค้าจากทั่วโลก และที่สำคัญคือบางแห่งนำขยะมาทำเป็นพื้นดิน และมีสถานที่สำคัญที่เรียกแขกอย่าง Cosmo World อีกด้วย

เราไม่รอช้าที่จะเดินทางไปที่ Cosmo World ครับ ซึ่งสถานที่แห่งนี้ เป็นสวนสนุกขนาดเล็กที่ไม่เก็บค่าเข้าครับ และเรียกเก็บค่าเครื่องเล่นเริ่มต้นที่ 300 – 800 เยนเท่านั้น และเครื่องเล่นที่ผมสนใจมากที่สุดคือ Coaster Diving ครับ อารมณ์มันจะเป็นการนั่งนรถไฟเหาะเจาะน้ำทะเลครับ ไปดูบรรยากาศเมือง Yokohama กัน

วันนั้นในโยโกฮาม่าผมเล่นเครื่องเล่นแค่อย่างเดียวครับ แล้วก็ตีรถกลับไปที่พักเลย และที่อเมซซิ่งสุดๆ คือ ผมอยากจอดรถในอาคารจอดรถที่มันจะหมุนรถได้ แล้วก็เลื่อนรถเราเก็บเข้าไปใน Stock เหมือนในรายการทีวีที่เราเคยเห็นกันครับ น่าตื่นเต้นมาก แต่เสียดายที่รถเราสูงเกินไป จีงต้องไปจอดลานด้านนอก ฮ่าๆๆ

คืนนี้ พักที่ Shin Yokohama Kakusai Hotel โรงแรมราคากลางๆ ในเมืองโยโกฮาม่าที่ถือว่าดีพอตัวครับ ว่าแต่ผ่านไปเร็วมาก วันหนึ่งอย่างเก่งนี่เก็บมาได้ราวๆ 2-3 ที่ก็เยี่ยมแล้วครับ เพราะแต่ละที่อยู่ไกลกันมาก ผมแนะนำให้ Road Trip มาจะสะดวกกว่า หากมากันสามคนขึ้นไป

 

DAY 7: YOKOHAMA – TOKYO

เช้านี้เราตื่นแต่เช้าเพื่อจะทำเวลาครับ ไม่อยากสาย เดี๋ยวรถติด อยากประหยัดค่าทางด่วนครับ เลยใช้การเดินทางบนทางธรรมดาจาก Yokohama เข้ากรุง Tokyo ใช้เวลาราวๆ 1 ชั่วโมง ก็เดินทางมาถึงที่พักครับ  ที่พักของเราในคืนนี้คือโรงแรมในเครือ APA Hotel ครับ ราคาคืนละ 3,000 กว่าบาทเท่านั้น

ขอย้อนกลับไปพูดถึงเรื่องการจอดรถในญี่ปุ่นหน่อยครับ คือการจอดรถในญี่ปุ่นเนี่ย ถ้านอกเมืองส่วนใหญ่จะไม่เสียค่าบริการครับ แต่ถ้าในตัวเมืองมีแน่ครับ อย่างในโยโกฮาม่าเนี่ย คิดแบบ 30 นาทีละ 240 Yen หรือเหมาจ่าย 3,000 Yen ต่อคืน แต่พอเจอค่าจอดในโตเกียวนิหงายเงิบเลย 20 นาทีละ 300 เยน โอ้วแม่เจ้า

วันนี้ผมจะพาพ่อกับแม่ลองนั่งรถไฟในญี่ปุ่นครับ พอเอาแผนที่มาให้ดูแล้วตั้งโจทย์ให้พ่อกับแม่ พ่อถึงกับงง ฮาๆๆ แต่เอาล่ะ ตอนแรกกะจะปล่อยให้ไปกันเอง แต่ดูแล้วไม่รอดเลยต้องพาไปครับ ที่แรกที่เราจะไปคือ วัดเซนโซจิ ตึกเบียร์อาซาฮีและวิวโตเกียวสกายทรีครับ พอรถไฟจอดที่สถานที่อาซากุซะ ก็ต้องตกใจครับ เพราะคนเยอะมาก คือคนที่นี่เค้ามาไหว้เทพเจ้าขอพรในช่วงปีใหม่กันครับ คือคนเยอะมาก เราก็ต้องต่อคิวกันเข้าไป

ในส่วนของวัดก็จะมีความเชื่อว่าหากล้างน้ำศักดิ์สิทธิ์ในวัด จะช่วยปัดเป่าสิ่งร้ายออกจากชีวิต และหากปัดควันธูปเข้าตัว หมายถึง การนำสิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิต และการขอพรจะต้องใช้เหรียญที่มีรูตรงกลางครับ ขอพรเสร็จก็โยนเหรียญลงไปในกล่องลังไม้ เพื่อทำให้คำขอเป็นจริง  และภายในวัดยังมีเซียมซีให้เราเสี่ยงทางกันด้วยครับ ใบละ 100 Yen คนเยอะมาก และดูเหมือนไม่ใช่สไตล์การเที่ยวของพ่อแม่ครับ พ่อแม่เลยขอกลับไปนอนที่โรงแรม ผมเดินทางกลับไปส่งพ่อแม่ และขอตัวออกมาเดินเล่นในเมืองคนเดียวก่อนกลับไทย จริงๆ ก็ไม่คนเดียวหรอกครับ นัดเพื่อนไว้

ที่แรกที่เราจะไปคือ ห้าแยกชิบูย่าครับ นัดแนนไว้ แนนเป็นเพื่อนค่ายสมัย ม.๕ นู้น แต่แก๊งเราสนิทกันมากครับ แนนมาเรียนภาษาที่ญี่ปุ่น ก็เลยถือโอกาสเจอกันซะเลย ห้าแยกชิบูย่าจะเป็นอารมณ์ไทม์สแควร์ในนิวยอร์คครับ ไม่มีวันหลับจริงๆ ผู้คนมากมายจะเดินข้ามแยกนี้ทั้งวันทั้งคืน เป็นแหล่งโชว์ความเก๋าความเก๋ เรียกได้ว่าเป็นอีกจุดหนึ่งที่พีคมากๆ สำหรับโตเกียว นอกจากนั้นยังมีรูปปั้นหมาที่แสดงให้เห็นถึงความซื่อสัตย์และจงรักภักดิ์ดีครับ ยังไงเพื่อนๆ ลองไปค้นหาประวัติกันดูนะครับ ว่าทำไมเค้าถึงให้ความสำคัญกับหมาตัวนี้มากขนาดนี้

ผมกับแนนเดินไปเรื่อยๆ เพื่อไปศาลเจ้าเมจิครับ ครั้งที่แล้วที่มาญี่ปุ่น กำลังจะเข้าไป แต่ศาลดันปิดเสียก่อน ครั้งนี้ก็เลยไม่พลาดครับ แต่คนเยอะอย่างที่เห็น และดูเหมือนจะเยอะพอๆ กับวัดเซนโซจิเสียด้วย เท่าที่ผมฟังมา เค้าบอกว่า ศาลเจ้าเมจิเนี่ย ขอพรเรื่องความรักครับ ใครขออะไรไปส่วนใหญ่แล้วจะสมหวังกันแบบนั้น วิวในคืนนั้นของศาลเจ้าเมจิสวยงามมากๆ ท้องฟ้าโปร่งมองเห็นดวงจันทร์ และผมก็ได้เซียมซีกลับมาหนึ่งใบ

เสร็จจากการ meeting กับแนน ก็นัดกับเพื่อนอีกคนที่ชื่อเฟิร์นครับ เฟิร์นเป็นเพื่อนที่บริษัทผม แต่ลาออกมาเรียนต่อและใช้ทุนที่ญี่ปุ่นครับ เราไปทานข้าวกัน เฟิร์นแนะนำว่า ลิ้นวัวที่ Shibuya อร่อยมาก อยากให้ทาน และก็จบทริปด้วยการไปดริ้งค์ที่ Moon Bar Walk กันกลับไทยครับ ร้านนี้ขอแนะนำนะครับ บรรยากาศเป็นกันเอง และเครื่องดื่มทุกอย่างแก้วละ 200 Yen เท่านั้น

และนี่ก็เป็นเรื่องราว Road Trip 7 วันของผมกับครอบครัวครับ สถานที่อาจไม่เยอะมาก แต่ก็เก็บสถานที่สำคัญไว้ครบครันพอตัว ผู้ใหญ่ไปได้ เด็กไปสบาย เพื่อนไปดีครับ หวังว่ารีวิวตัวนี้จะเป็นไกด์นำทางให้เพื่อนๆ ได้ตัดสินใจขับรถเที่ยวในญี่ปุ่นอีกตัวเลือกหนึ่งนะครับ แล้วเจอกันระหว่างทางนะครับ