ประวัติศาสตร์ภาษาและวัฒนธรรมประเทศตูนิเซีย
ตามตำนานกรีก เจ้าหญิงดีโดแห่งเมืองไทร์เป็นคนนอกกลุ่มแรกที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานท่ามกลางชนเผ่าพื้นเมืองของตูนิเซีย โดยก่อตั้งเมืองคาร์เธจในศตวรรษที่ 9 ก่อนคริสตศักราช คาร์เธจเติบโตขึ้นเป็นหนึ่งในเมืองที่ยิ่งใหญ่และมีอำนาจอันโดดเด่นในยุคโบราณกาล อาณานิคมได้กระจัดกระจายไปทั่วภูมิภาคเมดิเตอร์เรเนียนตะวันตก คาร์เธจมีการต่อสู้หลายสงครามกับเมืองคู่แข่งอย่างโรมซึ่งกรุงโรมได้ชัยชนะไปในช่วงกลางศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสตศักราช ทำลายคาร์เธจและเข้าปกครองภูมิภาคในช่วง 500 ปี ต่อมา ในศตวรรษที่ 7 ผู้พิชิตชาวอาหรับได้เปลี่ยนประชากรชาวเบอร์เบอร์ (Amazigh) ชาวพื้นเมืองของแอฟริกาเหนือให้นับถือศาสนาอิสลาม พื้นที่นี้ถูกปกครองโดยราชวงศ์และจักรวรรดิอิสลามที่สืบทอดต่อกันมา จนกระทั่งตกไปอยู่ภายใต้การปกครองของอาณานิคมฝรั่งเศสในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 หลังจากได้รับเอกราชในปี ค.ศ. 1956 ตูนิเซียดำเนินการตามวาระทางสังคมที่ก้าวหน้าและพยายามที่จะพัฒนาเศรษฐกิจให้ทันสมัย ภายใต้ประธานาธิบดีที่ดำรงตำแหน่งยาวนาน 2 คนคือ Habib Bourguiba และ Zine al-Abidine Ben Ali อย่างไรก็ตาม ตูนิเซียยังคงเป็นรัฐเผด็จการ โดยมีพรรคปกครองที่มีอำนาจเต็มเปี่ยมและไม่มีสถาบันสำคัญของรัฐบาลที่เป็นตัวแทน วัฒนธรรมของตูนิเซียมีความหลากหลายอย่างมาก ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการปกครองของออตโตมันมายาวนานและจากการถูกปกครองโดยฝรั่งเศส รวมไปถึงการที่มีประชากรชาวยิวและคริสเตียนอาศัยอยู่ท่ามกลางมุสลิมส่วนใหญ่มาหลายศตวรรษ ในทำนองเดียวกัน เมืองหลวงอย่างตูนิสได้ผสมผสานความเป็นอาหรับโบราณ มัสยิด และอาคารสำนักงานสไตล์โมเดิร์นเข้ากับเมืองที่สวยงามและมีชีวิตชีวาที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคภาษาอาหรับ เป็นภาษาราชการ และชาวพื้นเมืองส่วนใหญ่ใช้ภาษาอาหรับตูนิเซียในการสื่อสาร โดยมีการเรียนการสอนภาษาอาหรับมาตรฐานสมัยใหม่ตามโรงเรียน วัฒนธรรมอาหรับของประเทศส่วนใหญ่สิ้นสุดไปในปลายศตวรรษที่ 12 และปัจจุบันมีประชากรเพียงส่วนน้อยซึ่งส่วนใหญ่อยู่ทางตอนใต้ ที่ยังคงพูดภาษาเบอร์เบอร์อยู่ ภาษาฝรั่งเศสเข้ามามีบทบาทและถูกใช้ในวงกว้างในช่วงที่เข้ามาปกครองตูนิเซีย ช่วง ค.ศ. 1881–1956 เนื่องจากการแพร่กระจายของการศึกษา และปัจจุบันภาษาฝรั่งเศสยังคงมีบทบาทสำคัญในสื่อมวลชน การศึกษา และรัฐบาล
1 =