เช็คราคาและจองทัวร์มองโกเลีย 2568 ราคาถูก แพ็กเกจเที่ยวมองโกเลีย

ทัวร์มองโกเลีย ถิ่นกำเนิดเจงกิสข่าน มหาบุรุษผู้เกือบครองโลกได้สำเร็จ

จักรวรรดิมองโกล (Mongol Empire) ในช่วงคริสต์วรรษที่ 13 คือจักรวรรดินักรบบนหลังม้าที่มีความยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก และประวัติศาสตร์ของมองโกเลีย และกว่าที่จักรวรรดิมองโกลจะก้าวขึ้นมาสู่ความยิ่งใหญ่ได้ถึงเพียงนี้ ก็มีสิ่งที่ต้องแลกมา เพราะความสำเร็จย่อมต้องแลกมาด้วยอะไรบางอย่าง

ซึ่งจักรวรรดิมองโกลเอง ก็ได้แลกความสำเร็จมาด้วยการเข่นฆ่าและการทำสงครามของกองทัพนักรบมองโกลที่มีภาพลักษณ์โหดเหี้ยม ภายใต้การนำของปฐมกษัตริย์ หรือข่านผู้ก่อตั้ง นามว่า “เจงกิสข่าน” นักการทหารที่ประสบความสำเร็จในการนำกองทัพมองโกลบุกพิชิตดินแดนต่างๆ

ไล่ตั่งแต่ทุ่งหิมะในไซบิเรีย ผ่านลุ่มแม่น้ำฮวงโห เอเชียกลาง ที่ราบเขตร้อนของอินเดีย และหากกองทัพมองโกสามารถบุกไปถึงชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกได้เมื่อไหร่ เจงกิสข่านก็จะถูกขนานนามว่าเป็นจักรพรรดิองค์แรกและองค์เดียวที่ครองโลกได้ เพราะในขณะนั้น กองทัพมองโลกได้ยกทัพบุกไปจนเกือบถึงเกาะอังกฤษอยู่แล้ว แต่มีเหตุให้ต้องกลับเมืองเสียก่อน อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ไม่อาจครองโลกได้ แต่กองทัพทหารม้ามองโกลที่แข็งแกร่ง ก็สามาถเหยียบย่ำไปได้มากถึง 30 ประเทศ หากเทียบกับแผนที่ในปัจจุบัน และสุดท้ายไม่ว่าจะเก่งกาจเพียงใด ก็ไม่อาจหลีกหนีความตายได้ เจงกินข่าน ก็ได้เสียชีวิตลงในช่วงปี ค.ศ.1226 เป็นอันปิดฉากตำนานอันยิ่งใหญ่ในที่สุด พร้อมกับได้ทิ้งปริศนาเก็บไว้ให้คนรุ่นหลังเสาะแสวงหาต่อไป นั่นคือ “สุสานฝังศพ” ที่ทุกวันนี้ ก็ยังไม่มีการค้นพบแต่อย่างใด

สถานที่เที่ยวน่าน่าสนใจ เมื่อไปเที่ยวทัวร์มองโกเลีย

1. อูลานบาตาร์ (Ulaanbaatar) เป็นเมืองหลวงของมองโกเลีย ที่มีประชากรอยู่อาศัยหนาแน่นที่สุด หรือราว ๆ 1.3 ล้านคน ซึ่งเมืองแห่งนี้ ถูกผสมผสานความเก่าแก่และความทันสมัยเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ทำให้นักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสกับเมืองที่มีชีวิตชีวา ควบคู่ไปกับอาคารเก่าแก่และทันสมัยได้ตลอดทุกมุมเมือง นอกจากนี้ ก็ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจให้เยี่ยมชมอีกมากมาย ที่รอคอยผู้มาเยือนออกไปค้นหา

2. อุทยานแห่งชาติเทือกเขาอัลไต (Altai Tavan Bogd National Park) ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของมองโกลเลีย ตามแนวชายแดนรัสเซียและจีน ซึ่งอุทยานแห่งชาตินี้ ก็ประกอบไปด้วยยอดเขาที่มีระดับความสูงมากที่สุดในประเทศจำนวน 5 ยอด ไปจนถึงธารน้ำแข็ง ทะเลสาบ น้ำตกสูง และแหล่งโบราณคดีต่าง ๆ โดยเฉพาะกลุ่มภาพบนแผ่นหินแห่งเทือกเขาอัลไตในมองโกเลีย (Petroglyphic Complexes of the Mongolian Altai) ที่ยูเนสโกขึ้นทะเบียนให้เป็นแหล่งมรดกโลก

3. อารามเออร์ดีนซูล่า (Erdene Zuu Monastery) ถูกก่อตั้งขึ้นโดย อับไต เซน ข่าน (Abtai Sain Khaan) ในปี 1586 โดยในช่วงที่มีความรุ่งเรืองถึงขีดสุดนั้น ก็เคยมีวัด 60-100 แห่ง ตั้งอยู่ ซึ่ง ณ ปัจจุบัน อารามแห่งนี้ก็เปิดให้ผู้คนเข้าชมความงดงามของวัดต่าง ๆ ที่ยังหลงเหลือมาจากศตวรรษที่ 16 ได้ทุกแห่ง

4. ที่ราบกว้าง ดอร์นอดมองโกเลีย (Dornod Mongolia Steppe) ที่ราบแห่งนี้ เป็นระบบนิเวศน์แบบทุ่งหญ้า ตั้งอยู่ทางตะวันออกของประเทศ ที่ได้รับการคุ้มครองจากทางการมองโกเลียเป็นอย่างดี และยังเป็นหนึ่งในระบบนิเวศน์แบบทุ่งหญ้าขนาดใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย ซึ่งเหมาะกับคนที่ชื่นชอบการถ่ายภาพสัตว์ป่ามาก เพราะในทุก ๆ ปี จะมีฝูงละมั่งมองโกเลียกว่า 40,000 ตัว อพยพข้ามทุ่งหญ้าแห่งนี้

5. ซัลวาดทะเลทรายโกบี (Gobi Desert) ทะเลทรายโกบี คือทะเลทรายที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก ที่ครอบคลุมพื้นที่ทางตอนใต้ของประเทศมองโกเลีย ไปจนถึงประเทศจีน ซึ่งทะเลทรายแห่งนี้ ถือว่ามีความพิเศษเฉพาะตัว และแตกต่างจากทะเลทรายของประเทศอื่น ๆ อยู่มาก โดยเฉพาะเนินทราย Khongor อันยิ่งใหญ่

6. ภูมิทัศน์วัฒนธรรมหุบเขาออร์คอน (Orkhon Valley Cultural Landscape) หุบเขาแห่งนี้ ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองหลวง และถูกยูเนสโกขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลก เนื่องจากพื้นที่ของหุบเขามีประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน ทั้งยังเป็นสถานที่ตั้งของเศษซากปรักหักพังในอดีต ที่มีอายุย้อนกลับไปในช่วงศตวรรษที่ 6 ซึ่งรวมไปถึง “คาร์คอริน” หรือเมืองหลวงของเจงกีส ข่าน ระหว่างศตรวรรษที่ 13 – 14

อาหารที่ต้องลองเมื่อไปเที่ยวทัวร์มองโกเลีย

1. ชานม (Süütei tsai) ชานมแบบดั่งเดิมของชาวมองโกเลีย ซึ่งชานมของมองโกเลียนั้น จะมีการใส่เกลือลงไปในชา นอกจากนี้ ก็ยังมีการใส่เนยลงไป เพื่อเพิ่มพลังงานให้กับร่างกายไว้ใช้สำหรับป้องกันความหนาวเหน็บได้อย่างเต็มที่
2. ติ่มซำมองโก (Buuz) ติ่มซำไส้เนื้อแกะ และมีการผสมเครื่องเทศเพียงเล็กน้อย ส่วนอีกเมนูที่เหมือนกันก็คือ “Bansh” เป็นติ่มซำแต่มีขนาดเล็กกว่า นอกจากนี้ก็ยังมี “Khuushuur” หรือติ่มซำแบบทอด ซึ่งทั้งหมดนี้ ก็มีความอร่อยที่แตกต่างกันไปคนละแบบ
3. พาสตาสไตล์มองโกเลีย (Tsuivan) แตกต่างจากพาสตาทั่วไปตรงที่ เปลี่ยนจากเส้นพาสตามาเป็นเส้นก๋วยเตี๋ยว และใส่แครอท มันฝรั่ง เนื้อแกะตุ๋นเพิ่มลงไป
4. บาร์บีคิวมองโก (Khorkhog) นิยมใช้เนื้อแกะเป็นส่วนใหญ่ และวิธีการทำก็มีความแตกต่างจากบาร์บีคิวตะวันตก เพราะที่มองโกเลียจะนำเนื้อทั้งหมดใส่ลงไปในหม้อขนาดใหญ่ ใส้น้ำเล็กน้อย พร้อมเกลือ พริกไทย มันฝรั่ง แครอท หัวหอม ซึ่งเคล็ดลับความอร่อยของเมนูนี้คือ การใช้หินร้อนที่สุมอยู่ในกองไฟมาวางบนเนื้อเรียงเป็นชั้น ๆ จึงช่วยเพิ่มกลิ่นรมควันได้เป็นอย่างดี และมีความอร่อยไม่แพ้กับบาร์บีคิวจากตะวันตกเลยทีเดียว
5. สุรานมม้า (Airag) จัดเป็นเครื่องดื่มประจำชาติของชาวมองโกลก็ว่าได้ เป็นสุราที่เกิดจากการนำนมม้าไปหมักจนกลายเป็นเหล้า ซึ่งชาวมองโกจะเลี้ยงปศุสัตว์ทั้งแพะ แกะ วัว แต่นิยมใช้นมม้ามาทำเหล้ามากกว่า เนื่องจากมีปริมาณน้ำตาลสูงกว่านมแพะ หรือวัว ทำนมม้าหากนำมาหมักเป็นเหล้าแล้ว ก็จะมีแอลกอฮอร์สูงกว่า หรือมีประมาณ 0.7-2.5% และถึงแม้จะมีปริมาณแอลกอฮอร์น้อยกว่าสุราประเภทอื่นมาก แต่ก็เป็นของชั้นยอดของชาวมองโก ที่ต้องใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในทุ้งหญ้ากว้าง ทำให้ปลูกข้าว หรือพืชผักมาทำเป็นเหล้าได้ยาก

เรื่องราวน่ารู้ เตรียมพร้อมก่อนไปเที่ยวทัวร์มองโกเลีย

1. มองโกเลียมีพื้นที่กว้างใหญ่กว่า 1.5 ล้านตารางกิโลเมตร หรือใหญ่กว่าประเทศไทยประมาณ 3 เท่า และแม้จะมีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลเพียงใด แต่จำนวนประชากรถือว่ามีน้อยมากหากเทียบกับขนาดพื้นที่ ซึ่งมีประมาณ 3 ล้านคนเท่านั้น จึงทำให้มองโกเลียมีความหนาแน่นของประชากรน้อยที่สุดในโลก
2. ศาสนาประจำชาติของมองโกเลีย คือ ศาสนาพุทธนิกายลามะ (นิกายวัชระยานแบบทิเบต) มีลามะเป็นผู้นำทางศาสนา
3. ทะเลทรายโกบีเป็น 1 ใน 5 ทะเลทรายที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก และทะเลทรายแห่งนี้ ยังมีการค้นพบฟอสซิลชิ้นสำคัญอีกด้วย ซึ่งฟอสซิลไข่ไดโนเสาร์ใบแรกของโลกก็ถูกค้นพบที่นี่เช่นกัน ที่สำคัญทะเลทรายโกบียังมีความแตกต่างจากทะเลทรายทั่วไป เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นทุ่งหญ้าราบกว้าง และเป็นที่อยู่อาศัยของอูฐจำนวนมาก ทั้งยังอุดมไปสัตว์และพืชพรรณนานาชนิด
4. ชาวมองโกลที่ไม่ได้อาศัยอยู่ในเมืองหลวงจะอาศัยอยู่ในเกอ หรือกระโจมทรงกลม ซึ่งทำมาจากไม้และคลุมด้วยหนังสัตว์และผ้าใบ ทำให้ง่ายต่อการอพยพ เนื่องจากชาวมองโกแต่เดิมเคยเป็นชนเผ่าเร่ร่อนเลี้ยงสัตว์ แต่ปัจจุบันนี้ ชาวมองโกก็ได้เปลี่ยนมาอยู่อาศัยเป็นหลักแหล่งมากขึ้น จึงสร้างเกอด้วยอิฐและไม้เป็นหลัก แต่ก็ยังคงรักษารูปลักษณ์แบบเดิมเอาไว้
5. ม้าป้าพันธุ์ท้องถิ่นของมองโก หรือพริเซวอลสกี้ (Przewalsky) ที่เจงกิส ข่านใช้ควบยามออกรบ ถือเป็นสัญลักษณ์ของความสำเร็จของประเทศมองโกเลียในการดำรงชีวิต และครั้งหนึ่งม้าป้าท้องถิ่นก็เคยสูญพันธุ์ไปจากมองโกเลีย จึงมีโครงการนำม้าที่เหลือจากประเทศต่าง ๆ กลับมาปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ ทำให้ทุกวันนี้ มีม้าป้าเพิ่มขึ้น 20 ฝูง หรือประมาณ 200 ตัว

ตรวจเช็คสภาพอากาศก่อนออกเดินทาง เที่ยวทัวร์มองโกเลีย ที่มองโกเลียมี 4 ฤดูกาลดังนี้

มองโกเลียมี 4 ฤดูคล้ายของประเทศในแถบยุโรปเหนือ แต่สภาพอากาศในแต่ละฤดูกาลมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นผลมาจากกระแสลมหนาวที่พัดมาจากไซบีเรีย ทำให้ในช่วงฤดูหนาวจะมีอุณหภูมิลดลงไปได้ถึง -30 องศาเซลเซียส และบางปีก็อาจหนาวกว่านี้ ขณะเดียวกันในช่วงฤดูร้อน อุณหภูมิก็อาจพุ่งสูงไปได้ถึง ถึง 35-40 องศาเซลเซียส ซึ่งถือว่าอุณหภูมิตลอดทั้งปีมีความแตกต่างกันมากถึง 70-80 องศาเซลเซียส นี่จึงอาจเป็นเหตุผลหนึ่ง ที่ทำให้ร่างกายชาวมองโกลมีความแข็งแกร่งมาก 1. ฤดูใบไม้ผลิ (มีนาคม – มิถุนายน)
2. ฤดูร้อน (มิถุนายน – กันยายน)
3. ฤดูใบไม้ร่วง (กันยายน – ธันวาคม)
4. ฤดูหนาว (ธันวาคม – มีนาคม)

เมื่อมาเที่ยวทัวร์มองโกเลีย ของฝากที่ควรซื้อจากทัวร์มองโกเลีย

ภายในเมืองอูลานบาตอร์ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของมองโกเลียนั้น ก็มีของฝากให้เลือกมากมาย เรียกได้ว่าครบครัน ไม่ว่าจะเป็นของแบรนด์เนม หรือของท้องถิ่น ทั้งเสื้อผ้า หนังสือ พรม ที่มีขายอยู่ภายในห้างสรรพสินค้าของเมืองอย่าง State Department Store ส่วนอีกสถานที่ยอดนิยมสำหรับซื้อของฝากคือ Naran Tuul ซึ่งเป็นตลาดมืดสำหรับแลกเงิน ก็เหมาะกับการมาเยือนอย่างยิ่ง เนื่องจากเต็มไปด้วยสินค้าพื้นเมืองต่าง ๆ เช่น เสื้อผ้า หรือพรมที่ทำจากขนแพะแคชเมียร์คุณภาพยอดเยี่ยม ไปจนถึงสินค้าที่เกี่ยวกับม้า ส่วนใครที่ไม่ชอบความสถานที่คนพลุกพล่าน ก็ต้องไปเยือน Mary & Matha Mongolia ร้านขายของฝากและสินค้าพื้นเมืองชื่อดัง ซึ่งก็มีสินค้าให้เลือกหลากหลายรายการเช่นกัน โดยเฉพาะวอดก้าแบรนด์ท้องถิ่นอย่าง Chinggis และ Chinggis Khan ที่เป็นวอดก้าเกรดพรีเมี่ยม และสามารถไปคว้ารางวัลในต่างประเทศมาแล้ว