เช็คราคาและจองทัวร์จอร์เจีย 2568 ราคาถูก แพ็กเกจเที่ยวจอร์เจีย

ทัวร์จอร์เจีย ประเทศปลายสุดทวีปเอเชียจุดตัดระหว่างทวีปยุโรป

ประเทศจอร์เจีย ตั้งอยู่ที่ปลายสุดของทวีป เป็นจุดตัดระหว่างทวีปยุโรป มีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนานกว่า 2,500 ปี และภาษาจอร์เจียเอง ก็เป็นหนึ่งในภาษาที่มีความเก่าแก่ที่สุดในโลกที่ยังมีผู้คนใช้อยู่อีกด้วย ส่วนกรุงทบิลิซี เมืองหลวงขอจอร์เจียที่ตั้งอยู่หุบเขา ก็มีอายุยาวนานกว่า 1,500 ปี

ในสมัยก่อนนั้น พื้นที่ส่วนใหญ่ของจอร์เจียเคยถูกยึดครองมาก่อนจากหลายชนเผ่า อาทิ เปอร์เซีย ตุรกี อาหรับและมองโกล ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 7 ถึง 18 รวมแล้วก็เป็นระยะเวลาวลากว่า 11 ศตวรรษที่จอร์เจียถูกปกครองดโดยชนเผ่าต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม ในระหว่างศตวรรษที่ 11 ถึง 12 จอร์เจียก็ได้รับการปกป้องคุ้มกันจากรัสเซีย ทำให้ในที่สุดรัสเซียได้ผนวกเอาจอร์เจียมาเป็นส่วนหนึ่งของประเทศอยู่นานพอสมควร

จนกระทั่งวันที่ 9 เมษายน ค.ศ. 1991 สภาสูงสุดของสาธารณรัฐจอร์เจียก็ได้ประกาศเอกราชจากรัสเซียได้ในที่สุด แต่ก็ต้องประสบปัญหาความขัดแย้งของเชื้อชาติ แล้วทุกอย่างก็อย่างก็เริ่มมีสเถียรภาพในปี ค.ศ. 1995 อย่างไรก็ตาม ปัญหาคนพลัดถิ่นภายใน (internally displaced persons--IDPs) กว่า 230,000 คน ก็ยังคงเป็นอุปสรรคต่อพัฒนาการการเมืองในระดับท้องถิ่น

สถานที่เที่ยวน่าน่าสนใจ เมื่อไปเที่ยวทัวร์จอร์เจีย

1. เทือกเขาคอเคซัส (Caucasus Mountains) เป็นเทือกเขาสูงใหญ่ของจอร์เจีย ที่เป็นพรมแดนธรรมชาติกันระหว่างทวีปเอเชียและยุโรป โดยเทือกเขาคอเคซัซที่ตั้งอยู่ในดินแดนขอจอร์เจียนั้น ก็มีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บนยอดเขาคาสเบก (Mt.Kazbek) หนึ่งในภูเขาบนเทือกเขาคอเคซัส ที่สามารถชมวิวมุมสูงได้กว้างใกลสุดลูกหูลูกตา

2. โบสถ์สมินดา ซาเมบา (Tsminda Sameba) มีชื่อเรียกในภาษาท้องถิ่นว่า โบสถ์เกอเกติ (Gergeti Trinity Church) หนึ่งในโบสถ์เก่าแก่ของจอร์เจีย ที่ถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 14 บนหน้าริมแม่น้ำเซเครี (Chkheri) ที่มีระดับความสูงเหนือน้ำทะเลกว่า 2,000 เมตร และด้วยทัศนียภาพที่งดงามของโบสถ์แห่งนี้ มันจึงได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของจอร์เจียในที่สุด

3. เมืองอุพลิสชิเค่ (Uplistsikhe) เป็นเมืองที่ถูกสร้างขึ้นโดยการขุดเจาะตีนเขาให้กลายเป็นโพรงถ้ำทะลุถึงกัน โดยด้านนอกจะมีบันไดและถนนหินเป็นตัวเชื่อมต่อของถ้ำแต่ละแห่ง ซึ่งมีการสันนิษฐานว่า เป็นเมืองที่ถูกสร้างขึ้นมาก่อนคริสตกาล ส่วนด้านบนสุดของถ้ำยังเป็นที่ตั้งของโบสถ์นิกายโรมันคาทอลิกอันเก่าแก่อีกด้วย ซึ่งความเก่าแก่และมีคุณค่าเช่นนี้ มันจึงถูกขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกจากยูเนสโกในที่สุด นอกจากนี้ ภายในเมืองก็ยังมีพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ให้ได้เข้าชมกันอีกด้วย

4. โบสถ์เกอลาติ (Gelati Monastery) โบสถ์แห่งนี้ก็ถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโกเช่นกัน โดยถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1106 ด้วยสถาปัตยกรรมที่แสดงให้เห็นถึงยุคทองของเศรฐกิจและการเมืองของจอร์เจีย ในช่วงยุคกลางระหว่างศตวรรษที่ 11 – 13 ซึ่งจุดเป็นศูนย์กลางของวิทยาศาสตร์และการศึกษา ทั้งยังเป็นศูนย์รวมวัฒนธรรมเก่าแก่ที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในจอร์เจียยุคโบราณ

5. บาทูมิ (Batumi) เป็นเมืองตากอากาศที่ตั้งอยู่ติดกับทะเลดำ (Black Sea) ซึ่งถูกขนานนามว่าเป็นเมืองแห่งสียามราตรีที่มีความทันสมัยที่สุดของจอร์เจียอีกด้วย โดยภายในเมืองนอกจากจะมีตึกสูงระฟ้าตั้งเรียงรายอยู่แล้ว ก็ยังมีสิ่งปลูกสร้างสถาปัตยกรรมยุโรปยุคเก่าผสมผสานอยู่ด้วย เนื่องจากบาทูมิเป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนานนับตั่งแต่ศตวรรษที่ 8 ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ในเมืองเต็มไปด้วยสถานที่น่าสนใจมากมาย เช่น ป้อมปราการเก่าแก่โกนิโอ (Gonio Fortress) สวนพฤกษศาสตร์บาทูมิ (Batumi Botanical Garden) ยุโรปสแควร์ (Europe Square) และอาคารหอดูดาว (Astronomical Clock)

6. กูเดาริ (Gudauri) จัดเป็นเมืองแห่งสกีรีสอร์ทบน ที่ตั้งอยู่ในความสูงเหนือระดับน้ำทะเลกว่า 2,000 เมตร โดยในช่วงฤดูหนาวนั้น เมืองแห่งนี้ก็จะกลายเป็นจุดหมายปลายทางหลักของนักท่องเที่ยวต่างชาติ เนื่องจากพื้นที่ส่วนต่าง ๆ ของกูเดาริจะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ จึงสามารถเล่นกีฬาฤดูหนาวได้ ทั้ง สกี ฮอกกี้ เลื่อนหิมะ และสโนว์บอร์ด ที่สำคัญ ความสวยงามของกูเดาริก็ไม่ได้น้อยไปกว่าเทือกเขาแอลป์ในยุโรปเลย

อาหารที่ต้องลองเมื่อไปเที่ยวทัวร์จอร์เจีย

1. Khinkali เกี๊ยวนึ่งลูกใหญ่ ที่รูปร่างคล้ายเสี่ยวหลงเปา ซึ่งมีใส้ให้เลือกกินหลากหลายชนิดด้วยกัน แต่ส่วนมากจะทำจากเนื้อแกะ เนื้อวัว เนื้อหมู ชีส และน้ำซุปรสชาติกลมกล่อมที่อัดอยู่ข้างใน สำหรับวิธีการกินแบบคนท้องถิ่นนั้น ก็จะใช้มือมาจับบริเวณจีบด้านบน แล้วเอาเข้าปากทันทีแทนการใช้ตะเกียบ

2. Khachapuri เมนูนี้เป็นขนมปังแป้งบางกรอบที่ทำเป็นรูปถ้วย ทั้งทรงกลม ทรงสี่เหลี่ยม หรือเรือ แตกต่างกันไปตามรังสรรของเชฟ ส่วนตรงกลางนั้น จะมีการใส่ไข่ เนย ชีส ซึ่งเวลาทานนั้นก็ต้องคลุกเคล้าส่วนประกอบให้เข้ากันเสียก่อน

3. Kharcho ซุปบแบบฉบับจอร์เจียชนิดนี้ มีส่วนประกอบหลักคือเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อแกะ เนื้อหมู เนื้อไก่ และเนื้อห่าน ที่ถูกหั่นเป็นชิ้น ๆ แล้วต้มจนเปื่อย จากนั้นใส่ข้าว วอลนัทสับ และเครื่องเทศนานาชนิด ที่มีความแตกต่างกันไปตามแต่ละภูมิภาคของจอร์เจีย

4. Lobiani ขนมปังใส้ถั่ว ซึ่งเมนูนี้ สามารถหาทานได้ทั่วไปในจอร์เจียอยู่แล้ว แต่ที่ทำให้เมนูนี้พิเศษยิ่งขึ้นไปอีกก็คือ สูตรการทำที่มีความแตกต่างกันไปตามแต่ละภูมิภาค และสูตรที่ได้รับความนิยมที่สุดคือ Rachuli Lobiani จากภูมิภาค Racha ด้วยการนำถั่วไปผสมกับแฮมชิ้นเล็ก แล้วปรุงรสด้วยเกลือกับพริกไทย พร้อมกับสอดใส้ด้วยแฮมแผ่นใหญ่เข้าไปอีกชั้น

5. Churchkhela ลักษณะภายนอกที่โดดเด่นของเมนูนี้คือ เป็นเส้นยาวๆ ที่ถูกแขวนอยู่ตามร้านรวงต่าง ๆ ดูแล้วก็คล้ายกับใส้กรอกอิสานไม่น้อย แต่เมนูของจอร์เจียชนิดนี้ จัดเป็นของหวาน ด้วยการเอาวอลนัท และถั่วต่าง ๆ มาร้อยกับด้ายเป็นเส้นยาวๆ จากนั้นนำไปเคลือบด้วยน้ำเชื้อมองุ่นที่เคี้ยวกับแป้งและน้ำตาลจนได้ที่ เสร็จแล้วก็เอาไปตากแห้งทิ้งไว้เป็นเวลา 3–4 วัน ก็นำมารับประทานได้

เรื่องราวน่ารู้ เตรียมพร้อมก่อนไปเที่ยวทัวร์จอร์เจีย

1. เนื่องจากทำเลที่ตั้งของจอร์เจียเป็นยุทธศาสตร์สำคัญ จึงทำให้ในอดีตเกิดการสู้กันนับครั้งไม่ถ้วน ส่งผลให้ประเทศนี้ถูกปกครองโดยหลายชนเผ่ามาก่อน และด้วยเหตุนี้เอง จอร์เจียจึงเต็มไปด้วยป้อมปราการ (Fortress), กำแพงเมือง รวมไปถึงสิ่งก่อสร้างที่แสดงถึงมิตรภาพระหว่างประเทศหลังจากที่ได้เลิกรบกันไปแล้ว
2. เนื่องจากจอร์เจียเป็นประเทศเกษตรกรรม ในสมัยก่อนจอร์เจียจึงเป็นแหล่งผลิตอาหารหลักส่งตรงให้กับโซเวียต (รัสเซีย) ด้วยเหตุนี้ พืชพันธ์ธัญหารในจอร์เจียจึงมีคุณภาพมาก และมีราคาค่อนข้างถูกอีกด้วย
3. ประเทศจอร์เจียยังคงมีความสดใหม่ของธรรมชาติ และยังมีนักท่องเที่ยวไปเยือนไม่เยอะ ทำให้หลาย ๆ สิ่งหลายอย่างในจอร์เจียยังคงรูปแบบดั่งเดิมเอาไว้ได้เป็นอย่างดี
4. เนื่องจากจอร์เจียเป็นประเทศที่ตั้งอยู่สุดของทวีปเอเชียและใกล้กับทวีปยุโรปมาก จึงทำให้จอร์เจียถูกผสมผสานวัฒนธรรมของทั้ง 2 ทวีปได้อย่างลงตัว และที่น่าแปลกใจก็คือ ประเทศนี้มีพื้นที่ทางภูมิศาสตร์อยู่ในทวีปเอเชีย แต่กลับไปลงแข่งขันกีฬาฟุตบอลโลกโซนยุโรป
5. คนไทยสามารถไปเที่ยวจอร์เจียได้เลย โดยไม่ต้องขอวีซ่า (Visa) และสามารถอยู่ในประเทศนี้ได้นานถึง 1 ปี
6. จอร์เจียเป็นประเทศเก่าแก่มากที่สุดประเทศหนึ่งของโลก และภาษาหลักที่คนจอร์เจียใช้สื่อสารกัน คือ ภาษาจอร์เจีย และภาษารัสเซียเป็นหลัก ส่วนภาษาอังกฤษยังเป็นภาษาที่คนส่วนใหญ่ในประเทศนี้พูดไม่ค่อยได้
7. จอร์เจียเป็นประเทศที่มีขนาดพื้นที่ไม่ใหญ่มาก ซึ่งมีพื้นที่ทั้งหมดเพียง 69,700 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 1 ใน 7 ของประเทศไทย

ตรวจเช็คสภาพอากาศก่อนออกเดินทาง เที่ยวทัวร์จอร์เจีย ที่จอร์เจียมี 4 ฤดูกาลดังนี้

1. ฤดูใบไม้ผลิ (มีนา-พฤษภาคม) อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 10-24 องศาเซลเซียส
2. ฤดูร้อน (มิถุนายน-สิงหาคม) อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 20 - 31 องศาเซลเซียส
3. ฤดูใบไม้ร่วง (กันยายน-พฤศจิกายน) อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 4 – 20 องศาเซลเซียส
4. ฤดูหนาว (ธันวาคม – กุมภาพันธ์) อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ -3 ถึง 8 องศาเซลเซียส และอากาศติดลบมากขึ้นบนที่สูง

เมื่อมาเที่ยวจอร์เจีย ของฝากที่ควรซื้อจากจอร์เจีย

ถนนคนเดินรุสทาเวลี (Rustaveli Street) ที่ตั้งอยู่ในทบิลิซิ เมืองหลวงของจอร์เจียนั้น ถือเป็นแหล่งรวบรวมสินค้าและของฝากน่าสนใจหลายชนิด เช่น สินค้าพื้นเมือง ผลงานศิลปะ งานแฮนด์เมด และอื่น ๆ อีกมากมาย รับรองได้ว่าหากมาเยือนแล้วต้องได้ของติดไม้ติดมือกลับไปแน่นอนไม่มากก็น้อย ซึ่งถนนคนเดินแห่งนี้ ถือเป็นสถานที่ที่ไม่ว่าใครหากมาเยือนจอร์เจียแล้ว ก็ไม่ควรพลาด นอกจากนี้ ก็ยังมีห้าง ร้านค้า และคาเฟ่น่าสนใจตั้งเรียงรายอยู่มากมาย แต่หากไม่ชอบคนพลุกพล่านก็สามารถหาซื้อของฝากได้ตามร้านทั่วไป นอกจากนี้ที่จอร์เจียก็ขึ้นชื่อเรื่องไวน์ (Georgian Wine) เช่นกัน เพราะจอร์เจียเป็นหนึ่งในประเทศผู้ผลิตไวน์เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ซึ่งมีกระบวนการผลิตไวน์ที่ถูกสืบทอดมายาวนานกว่า 8,000 ปี จนทำให้ยูเนสโกขึ้นทะเบียนมรดกโลกทางวัฒนธรรมในที่สุด